วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผวาแดงคอมมิวนิสต์-ศก./"ผู้ใหญ่"ส่งสัญญาน/"ชวน"เจรจารัฐบาลแห่งชาติ/"สุเทพ"ไม่ถอย

@@"หน่วยข่าวลับ" รายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองการทหาร หลังรัฐบาล"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"นายกรัฐมนตรี ภายใต้การกำกับของ"สุเทพ เทือกสุบรรณ"รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง บริหารประเทศมาได้ ๒ เดือน และกำลังจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (๒๗ ก.พ.)ขณะที่กำลังมีความเคลื่อนไหวของม็อบต่อต้านฝ่าย"เสื้อแดง"(๒๔ก.พ.)ที่ขู่จะปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล พร้อมๆกับมีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.ประจวบฯ ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เดินทางไปพบกับ"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ว่า มีความเคลื่อนไหวจากผลการส่ง"สัญญาณ"จาก"ผู้ใหญ่"คนสำคัญผ่าน"ผู้ใหญ่"ระดับสูงในคณะองคมนตรี ไปยัง"ชวน หลีกภัย"ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำมาซึ่งการพบปะพูดคุยระหว่าง"ผู้ใหญ่"ในพรรคประชาธิปัตย์ กับ"ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ"แห่งพรรคเพื่อไทย ก่อนมีการออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมพลิกเกมด้วยการหันมาจับตัวกับพรรคเพื่อไทย ในการตั้งรัฐบาลหลังจากนี้

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า "ผู้ใหญ่"มีความต้องการสกัดไม่ให้สถานการณ์ที่กำลังกัดเซาะทำลายสถาบันระดับสูงของประเทศลุกลามต่อไป หลังจากมีรายงานความเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน รวมถึงภาคใต้ตอนบน กับการจัดตั้งกองกำลังของอดีตแนวร่วม"พรรคคอมมิวนิสต์"เดิม โดยใช้ฐานมวลชนของกลุ่ม"เสื้อแดง"ที่เริ่มมีการเกาะตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั้งฝ่ายซ้ายวิชาการ ที่มีแนวทางตรงข้ามกับ"ซ้ายศักดินา"ที่พร้อมผนึกตัวกับ"ฝ่ายเสื้อแดง"อีกส่วนหนึ่งที่มีแนวทางการต่อสู้ด้วยเหตุผลการสนับสนุน"ทักษิณ" โดยเนื้อหาสำคัญของการเคลื่อนไหวมีข้อตกลงที่แตกต่างไปจากการเคลื่อนไหวเมื่อครั้งหลัง ๑๙ก.ย.๔๙ ที่มี"ทักษิณ"เข้ามาเป็น"ตัวแปรสนับสนุน"ในด้าน"ทุน"

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่ใช่มีเพียงแต่มวลชนที่อยู่นอกอำนาจรัฐ ที่เป็นประชาชนรากหญ้า และปัญญาชน หากแต่ยังมีการเคลื่อนไหวในหมู่นายทหารในกองทัพจำนวนไม่น้อย ภายใต้การเคลื่อนไหวของ ตท.๑๐ และ ทหารที่ได้รับผลกระทบจากการโยกย้าย รวมถึงที่ได้รับ"อิทธิพล"จาก"ข้อมูล"เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในโครงสร้างอำนาจ และสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่อยู่ภายใต้"อำนาจ"เหนือ"อำนาจ"ที่กำลังทำให้ผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๒ มีความรุนแรงมากขึ้นและยากควบคุม ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อนไปด้วย และรวมถึงกลุ่มนายทหารที่ไม่พอใจกับภาพความตกต่ำเสื่อมเสียของกองทัพจากพฤติกรรมของนายทหารบางส่วนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผลกระโยชน์ทางการเมืองและมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการทุจริตเรียกรับประโยชน์ ในห้วง คมช.

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า"ผู้ใหญ่"มีความกังวลอย่างมากกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจลุกลามไปยังประชาชนในประเทศและอาจพาลมาสู่สถาบันระดับสูงที่ในระยะหลัง ๑๙ก.ย.๔๙ มีการใส่ข้อมูลด้านลบให้กับประชาชน ทำให้"ผู้ใหญ่"มีการรื้อแนวความคิดเดิมที่จะให้มี"รัฐบาลแห่งชาติ"เกิดขึ้นโดยยังคงมี"กองทัพ"เป็นแบ็คอัพในด้านความมั่นคง ขณะที่มีการเตรียมดึง"เกจิด้านเศรษฐกิจ"ที่เป็น"คนกลาง"ในการเข้าร่วมกันแก้วิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีการประเมินแล้วว่ายอดเงินคงคลังที่แท้จริงที่เหลืออยู่นั้นน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเป็นที่แน่ชัดว่าประมาณการจัดเก็บรายได้(ภาษี)จะลดลง ซึ่ง"สัญญาณ"เหล่านี้ทำให้"ผู้ใหญ่"ไม่มั่นใจว่า"อภิสิทธิ์"หรือ"กรณ์ จาติกวณิชย์"รมว.คลัง จะรับมือได้ ซึ่งท่าทีนี้ถูกส่งผ่าน"นายชวน"รวมถึง"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ"ที่ถูกระบุให้เป็น"ผู้ประสาน"การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ที่มีการส่งสัญญาณเหล่านี้ไปยังแกนนำของพรรคหลายๆคนรวมทั้ง"สุเทพ" โดยมีการระบุว่าสถานการณ์หนักหน่วงเกินไปที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์มาแบกรับโดยเฉพาะประมาณเดือนมิ.ย.๕๒ ที่จะปรากฎภาพที่ชัดเจนในสถานการณ์วิกฤติ ที่ทำให้ในการเดินทางไปเจรจาขอกู้เงิน ๗.๒แสนล้านจากญี่ปุ่น มีข้อสรุปที่รัฐบาลไทยยอมกู้ในอัตราดอกเบี้ย ๓.๗-๓.๘ % ทั้งที่ประเทศอื่นๆกู้เพียงอัตรา ๐.๕-๐.๗ %

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า นอกจากแรงกระเพื่อมที่ทำท่าว่าจะบานปลายดังกล่าวแล้ว "ผู้ใหญ่"ยังมีความกังวลกับข่าวการดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเนื้อหาหมิ่นต่อสถาบันระดับสูงในห้วง ๒-๓ เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่"ดา ตอปิโด"ไล่มาจนถึง"ใจ อึ๊งภากรณ์"ลูกชายของ"ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์"และลามเลยไปถึงสื่อมวลชนต่างประเทศในประเทศไทย โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับ"นายนิโครลายส์"นักเขียนชายออสเตรเลีย ที่ถูกจับกุมและต้องโทษหมิ่นสถาบัน ที่ทำให้เกิดกระแสโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยไปทั่วในต่างประเทศโดยเฉพาะในออสเตรเลียและบรรดาประเทศต่างๆรวมถึงส่งผลกระทบต่อทัศนคติของสื่อต่างประเทศต่อสถาบันในประเทศ..โดยเฉพาะยิ่งมีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกประเทศไทยต่อกฎหมายหมิ่นสถาบันในรัฐธรรมนูญผ่าน"ใจ อึ๊งภากรณ์" ซึ่งความกังวลาดังกล่าวนำมาสู่ความเคลื่อนไหวของ"ผู้ใหญ่"สอดรับกันล่าสุดกับข่าวการได้รับพระราชทานอภัยโทษของ"นิโครลายส์"(๑๙ก.พ.)

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่าเบื้องหลังกรณีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการเตรียมจัดประชุมอาเซียนซัมมิทที่หัวหิน(๒๗ก.พ.)และรวมถึงท่าทีจากการเดินทางมาเยือน ๔ ประเทศในอาเซียนของ"ฮิลลาลี คลินตัน"รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ที่ไม่มีประเทศไทยอยู่ในรายการเยือน ที่แม้จะมีการประสานจาก"สุรินทร์ พิศสุวรรณ"ในฐานะเลขาธิการอาเซียน ในการพบปะกับ"ฮิลลาลี"ที่พยายามให้"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"นายกรัฐมนตรีของไทยมีโอกาสเดินทางไปในที่อินโดนิเซียในช่วงการเยือน แต่ก็ยังมีแรงเสียดทานผ่านท่าทีของฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่เข้าพบ"นายชวน หลีกภัย"ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะพบ"อภิสิทธิ์"เมื่อ ๒-๓สัปดาห์ก่อน

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่าประเด็นที่สหรัฐไม่พอใจประเทศไทย และอาจทำให้ประเทศไทยโดยรัฐบาลปัจจุบัน(อภิสิทธิ์)ต้องพยายามเคลียร์กรณีคดียึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง และกรณียึดทำเนียบรัฐบาล พร้อมๆกับกรณี เหตุการณ์ตำรวจสลายการชุมนุม ๗ ตุลาคม ในห้วงเวลาที่มีการประชุมอาเซียนซัมมิท คือ กรณีที่ในช่วงที่มีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ มีการยึดเครื่องบินสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ของสหรัฐจำนวนหลายลำเพื่อเป็นประกันกับสหรัฐในห้วงเวลานั้น ที่ทำให้ช่วงเวลานั้นทำให้"ประธานาธิบดีบุช"ไม่พอใจ และกองทัพสหรัฐเตรียมที่จะเคลื่อนกองเรือที่ ๗ เข้ามาในประเทศไทยเพื่อกดดัน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวนำมาซึ่งความกังวลของ"ผู้ใหญ่"และเป็นสาเหตุต่อมาที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีการตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชนอย่างทุลักทุเลจนถูกวิจารณ์อย่างหนัก ทั้งนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความวุ่นวายโดยอาศัยกระบวนการยุติธรรม เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งห้วงเวลานั้นสื่อสัญชาติสหรัฐมีการเคลื่อนไหวโจมตีประเทศไทยอย่างหนัก

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า แม้กระนั้นข้อหารือใน"สัญญาณ"จาก"ผู้ใหญ่"ที่ส่งผ่านไปยัง"ชวน"และ"บัญญัติ บรรทัดฐาน"ก็เห็นด้วย ในการให้รัฐบาลถอยฉากออกจากการรับหน้าเสื่อการแก้วิกฤติเศรษฐกิจโดยให้มี"คนอื่น"(คนนอก)มาคั่นก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ถูกปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามจาก"สุเทพ"ที่มี"ผู้ใหญ่"อีกท่านให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ต้น

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่าประเด็น เงินบริจาดให้พรรคประชาธิปัตย์ ๒๕๐ ล้านของ"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์"แห่งทีพีไอ.นั้นเป็นเรื่องจริงที่รับรู้กันในหมู่แกนนำพรรค โดยเป็นการส่งผ่าน"นิพนธ์ บุญยามณี"รองเลขาธิการพรรค แต่ที่เรื่องนี้แดงออกมาเพราะ มีการเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินของทีพีไอ.และพบว่ามีการปลอมเอกสารภาษี กรณีการจ้างบริษัทโฆษณาเมสไซอะของ"สุชาติ สังข์ขาว"ซึ่งเคยร่วมทำธุรกรรมกับ"สุพัฒน์ ธรรมเพชร"และ"ไทกร พลสุวรรณ"มือไม้ของ"สุเทพ เทือกสุบรรณ"ที่ภายหลังม็อบ"ชมรมคนรู้ทันทักษิณ"ที่มี"น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ"และกลุ่มมือไม้ของ"เสธหนั่น"..เครือข่ายของ"สุเทพ"มีความเชื่อมโยงกับ"ประชัย"มากขึ้นผ่านคอนเนคชั่นในกองทัพโดยเฉพาะมีการเชื่อมผ่านไปยังเครือข่ายของทหารบ้านสี่เสาฯ

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่ากรณีเงินดังกล่าวเป็นส่วนผสมระหว่างเรื่องเก่ากับเรื่องใหม่ ที่ทำให้"ประชัย"เองก็ยอมรับกับสื่อว่าเขาเคยบริจาดให้กับพรรคประชาธิปัตย์แต่เป็นห้วงที่รัฐธรรมนูญ ๔๐ บังคับใช้ซึ่งยังทำได้ แต่ความจริงจากหลักฐานของ ดีเอสไอ.ที่พบคือเส้นทางของเงินซึ่งมีมากกว่า ๒๕๐ ล้าน อาจถึงหลัก ๒-๓,๐๐๐ล้าน ที่มีการเคลื่อนไหวในระยะปี ๒๕๔๘-๕๐ ไม่ได้ไปที่ปลายทางเฉพาะกลุ่มธุรกิจโฆษณาที่ทำโฆษณาให้พรรคประชาธิปัตย์ หากแต่มีการโอนไปยังปลายทางบริษัทขนส่ง ที่ไปสอดรับกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดคนเข้ามาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ ในเครือข่ายของ"สุเทพ"ห้วงรัฐบาล"สมัคร"และ"สมชาย"

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า เริ่มมีท่าทีความไม่พอใจจากบรรดาแกนนำในปีกของ"สุเทพ"ที่เคยร่วมแรงร่วมใจกันในห้วงสถานการณ์ต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะมีท่าทีจาก"ชำนิ ศักดิเศรษฐ"ที่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ระดมคนไปช่วยแต่ผลสุดท้ายเมื่อมีการตั้งรัฐบาลทั้งที่"สุเทพ"เป็นผู้จัดการทุกอย่างกลับไม่จัดตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ให้กับ"ชำนิ"ตามที่เขาคาดหมาย มีเพียง"วิทยา แก้วภราดัย"ซึ่งก็เป็นอีกหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ที่ได้รับการตอบแทน ทำให้มีกระแสจากคนใกล้ชิด"ชำนิ"ว่าเขาไม่พอใจอย่างมากและกำลังตัดสินใจที่จะย้ายสังกัดไปอยู่กับ"เสธหนั่น"ต้นสังกัดเดิมของ"บ้านสนามบินน้ำ"ที่พรรคชาติไทย

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า สถานการณ์โดยรวมที่ประเมินแล้วว่าไม่สามารถควบคุมได้กับวิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีผลพวงจาก ๒ ปีก่อนซ้ำกับสถานการณ์โลก ทำให้แกนนำระดับอาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มีการ"ยุบสภา"หลังจากผลักดันนโยบายประชานิยมได้ผลในระดับต้นๆแล้วโดยอาจใช้สถานการณ์การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงและพันธมิตรที่อาจถูกทำให้สถานการณ์บานปลาย เป็นประเด็นอ้างที่ล้างไพ่

ที่มา
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sunnews

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เบื้องหน้าเบื้องหลังโหรวารินทร์ โหรทหาร-การเมือง

หมวดข่าว : สัมภาษณ์พิเศษ

หนังสือ ลับ ลวง พราง ภาคพิสดาร ซึ่งเป็นหนังสือการกุศล ที่มอบรายได้ให้ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาพระวิหาร และ สมทบทุนสร้างพุทธมณฑลล้านนา จ.เชียงใหม่ ยังสัมภาษณ์เปิดใจ อาจารย์ วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช. ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง การรู้จักกับ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รวมทั้ง นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เจ้าสัวคอมลิ้งค์ ที่ต่อมากลายเป็นศิษย์เอก และทำให้ อาจารย์วารินทร์ กลายเป็น โหรประจำเตรียมทหารรุ่น 6 และ ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จนถึงเป็น โหร คมช.

“ พล.ท.สมศักดิ์ ชุติมันต์ เป็นคนที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ พี่แดง พล.อ.สุภาษิต วรศาสตร์ ที่ตอนนั้นยังเป็นพลตรี ที่ได้พาผมไปพบ กับ พล.อ.ประวิตร ตอนนั้น ยังเป็น พลโท ประจำ ถูกแขวนอยู่ ” อาจารย์ วารินทร์ กล่าว

พร้อมเล่าย้อนถึงการไปทำนายดวงชะตาให้ พล.อ.ประวิตร ด้วยว่า ผมมาถึง ผมไปนั่ง ตอนนั้นดูท่านไม่เชื่อผมนะ เพราะผมยังดูยังอ่อนและเด็กๆ ผมนั่งคุยกับท่าน ท่านก็นั่งมองผมเหมือนไม่มีความเชื่อถือ ผมก็นั่งตั้งจิต แล้วบอกว่า จะขึ้นไปเชียงใหม่อาทิตย์หน้านี้ไม่ใช่หรือ ก็ขึ้นไปหาซิ ไม่อยากจะพูด ท่านตกใจเปิดลิ้นชัก เอาหนังสือฉบับหนึ่งมา ผมเพิ่งได้มาเดี๋ยวนี้ ท่านรู้ได้ยังไงว่าผมจะขึ้นเชียงใหม่ จากนั้น เมื่อ พล.อ.ประวิตร ขึ้นมาที่ จ.เชียงใหม่ ก็มาหา อาจารย์ วารินทร์ ที่บ้านหลังเดิม ที่หน้ากองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 อ.แม่ริม

“ ตอนนั้นผมแนะนำไปท่านไปทำบุญแก้กรรม ” อาจารย์ วารินทร์ กล่าว อาจารย์ วารินทร์ เล่าว่า ในปี 2543 พล.อ.ประวิตร มานั่งคุย เพื่อให้เปิดฐานบุญ ตอนนั้นผมเรียกท่านแม่ทัพ แล้วท่านก็ได้เป็นแม่ทัพจริงๆ เป็นแม่ทัพภาค 1 หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร นายทหารโสดสนิท ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 แล้ว ก็ได้ขึ้นเป็น พลเอก ในตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.

“ ท่านประวิตร มาหาผม มานั่งคุย แล้วผมบอก ท่านประวิตร ว่า ให้ทำพิธีต่อบุญตรงนี้ ท่านจะได้เป็น ผบ.ทบ. ท่าน ประวิตร นั่ง แล้วก็บอกว่า อาจารย์พูดผิดแล้ว รู้ไหมใครอยู่ข้างบนผม พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ชินวัตร ใครจะย้ายได้ น้องชายเป็นนายกฯ ผมบอกว่า ให้รอดู ”

อาจารย์ วารินทร์ กล่าว โดยได้แนะนำให้ พล.อ.ประวิตร ทำบุญถวายหลวงปู่ฤาษีเกวาลัน หาเงินเข้าวัด “ ท่านประวิตร ก็นั่ง แล้วบอกผมว่า ถ้าได้เป็นจริง อาจารย์เอาอะไร ผมยอม ผมว่าเออ ไม่ต้องยอม ได้อยู่แล้ว ”

อาจารย์ วารินทร์ เล่า “ ความจริง ท่านประวิตร ก็ไม่หวัง แค่อาทิตย์เดียว ท่านก็โทรมา บอกว่า อาจารย์ ชัยสิทธิ์ มีปัญหา ผมมีสิทธิ์ไหม อ้าว...ผมก็บอก แล้วไงว่า จะเป็น ผบ.ทบ. ท่านประวิตร บอกว่า ขอให้ได้เถอะ ท่านก็ไปทำนั่นทำนี่ ตั้งกองกฐิน ที่สุด คำสั่งออก ท่าน ประวิตร ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ที่ทำให้ทุกคนฮือฮา ผมไปหาท่านที่ บก.ทบ. ผมเดินเข้าไปที่ห้องทำงานท่าน และแสดงความยินดี โดยผมเอาองค์พญาครุฑไปให้ท่าน ด้วย ” อาจารย์ วาริ นทร์ เล่าอย่างภาคภูมิใจ “ ผมไปที่โต๊ะทำงาน ผบ.ทบ. แล้วบอก ท่านประวิตร ว่า ผมเห็นก่อนที่ท่านจะมานั่งเสียอีก ท่านหัวเราะ ผมมาแค่ยินดี แล้วก็กลับ ”

อาจารย์ วารินทร์ ตบท้าย รวมทั้งเคยทำนายด้วยว่า พล.อ.ประวิตร จะได้เป็น รมว.กลาโหม มาแล้วหลายครั้ง แต่เพิ่งจะมาเป็นจริง ก็ตอนรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ นี่เอง ด้วยเพราะฐานบุญเพิ่งถึง หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ได้ไปทำพิธีบางอย่างเพิ่มเติม เพราะทุกวันนี้ อาจารย์ วารินทร์ กับ พล.อ.ประวิตร ก็ยังสายตรงกันถึงตลอด

ส่วนความสัมพันธ์กับ พล.อ.สนธิ นั้น อาจารย์วารินทร์ เล่าว่า ป้าหล้า นางปิยะดา บุญยรัตกลิน ภริยา และ พล.อ.ปมุข อุทัยฉาย เป็นคนนำพามา “ ตอนที่ ท่านสนธิ เข้ามาหาผม ผมนั่งดูผมเห็นอะไร หลวงปู่ฯบอกผมว่า นี่ไม่ใช่พุทธ นะ ผมก็ดูว่า ท่านมาทำไม ท่านบอกจะมาดูดวง พี่หล้าพามา ผมก็นั่งมอง ท่านทำบุญไมได้ ทุกศาสนาสอนให้ทำบุญ ผมก็สนับสนุนทุกคนให้ทำบุญอยู่แล้ว ผมก็แนะนำท่าน เป็นเรื่องๆๆๆ แล้วก็คุยกัน ผมก็ว่าท่านต้องปฏิบัติอันนั้น แก้นั้นแก้นี่ พี่หล้าก็ไปทำ ”

อาจารย์ วารินทร์ กล่าว “ เวลานั้น ท่านสนธิ เป็นรอง ผบ. นสศ. แต่เป็นแค่ รองคนที่ 3 ส่วน พล.ต.สุรพงษ์ อุทัยฉาย เป็นรองผบ.นสศ.เป็นรอง 1 ก็ลุ้นจะเป็น ผบ.นสศ.อยู่ ”

“ เสร็จแล้ว ท่านโทรมาหาผม บอกว่า อาจารย์ชื่อผมไม่มี ผมก็ยืนยัน บอกท่านเป็น ผบ.นสศ. หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ คำสั่งออกมาตูม ท่านสนธิ เป็น ผบ.นสศ. ทุกคนงง ว่ามาได้ยังไง ท่านปัฐวาท (ศรีสุขวงศ์ แห่ง คอมลิ้งค์) ยังยิ้ม แล้วบอกว่า บังได้ขึ้น ผมไม่ได้พูดอะไรมาก ”

อาจารย์ วารินทร์ เล่า ต่อมา อาจารย์ วารินทร์ เล่าว่า เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก ในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประวิตร ที่ได้เป็น ผบ.ทบ. นั้น ส่วน พล.อ.สนธิ ได้ขึ้นจาก ผบ.นสศ. เป็น พลเอก ในตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.

“ ขากลับ ผมไปเดินพบ ท่านสนธิ เห็นท่านแต่งชุดขาว ผมก็เข้าไปจับมือ ผมบอกว่า ปีหน้าท่านมา ท่านสนธิ จับมือ หัวเราะแหะๆๆ ผมว่าปีหน้า แน่นอน ผมก็เดินออกมา ท่านสนธิ ก็มาส่งผม ”

“ วันที่แตะบ่าเป็นพลเอก เป็น ผช.ผบ.ทบ. แล้วเดินออกมา ตอนที่ผมเห็นท่าน สนธิ ผมบอกว่า ท่านเป็นทหารของพระเจ้าตากสินฯ ความจริงผมเห็นภาพนี้ ตั้งแต่ ท่านเป็น ผบ.นสศ.แล้ว แต่ผมยังไม่กล้าเล่าให้ฟังเพราะผลยังไม่ออก แต่ต่อมาผมบอกว่า ท่านเป็นทหารเอก แล้วจะได้ช่วยเหมือนกับกู้ชาติ ท่านสนธิ หัวเราะ แล้วบอกว่า จะกู้ยังไงก็ชาติเรายังมีอยู่ ”

อาจารย์ วารินทร์ ยังเปิดปมที่ทำให้ พล.อ.สนธิ และ พล.อ.ประวิตร ที่แม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท. 6 แต่ก็เกิดความบาดหมางกันจนถึงปัจจุบัน อันเป็นข้อมูลที่รู้จากหมอดู เช่น การที่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ต้องการให้ พล.อ.สนธิ เป็น ผบ.ทบ.ต่อจากตนเอง แต่เสนอชื่อ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เพื่อนอีกคน เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ. แล้วจะเกษียณราชการ “ ท่าน ประวิตร มานั่ง แล้วถามผมว่า อาจารย์ ใครจะเป็นต่อผม ผมว่า ท่านสนธิ ท่านประวิตร บอกว่า ผมจะส่งชื่อ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ มีบุญสร้าง เหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.คงจะได้เป็น ผบ.สส.ในอนาคต ผมบอก สนธิได้ ผมบอกว่าสนธิได้ ”

อาจารย์ วารินทร์ เล่าด้วยว่า ในช่วงนั้น มีชื่อ บิ๊กอู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช จะเป็น ผบ.ทบ. “ พอข่าวออกมา ท่านสนธิ โทรมาหาผม บอกว่าผมคงไม่ได้หรอก เขาส่งชื่อ เลิศรัตน์ไปแล้ว ผมบอก เลิศรัตน์ ไม่ได้ คอยดู ” อาจารย์ วารินทร์ ทำนายในเวลานั้น “ พอส่งรายชื่อขึ้นไป ท่านถามว่าไม่มีใครแล้วหรือ ท่าน ประวิตรบอกว่ามี แต่เป็นอิสลาม ไหนเอามาดูสิ ท่านบอกเออ อิสลามก็ยิ่งดี นายกฯก็อยู่ ก็ต้องเอาสนธิ ท่านสนธิ ถึงบอกว่า คนตั้งผมไม่ใช่นายกฯ แต่เป็น...ตั้ง ”

เมื่อประกาศโผแต่งตั้งออกมา พล.อ.สนธิ ได้เป็น ผบ.ทบ.เรียบร้อยแล้ว “ ท่านสนธิ โทรมาบอกผมเองเลยว่า อาจารย์ผมได้เป็นผบ.ทบ.แล้ว ” จากนั้น สิ่งที่อาจารย์ วารินทร์ จำได้ดีก็คือ คำพูดของ พล.อ.สนธิ “ ผมและครอบครัว ยังเหมือนเดิมกับอาจารย์ ในประเทศไทยอาจารย์มีเรื่องอะไรบอกผมได้ ผมถอยมาก้าวหนึ่งท่านเดินเข้ามาหาผมสองก้าว ”

รวมทั้งเบื้องหลัง การเป็น ผบ.ทร. ของ บิ๊กอุ๊ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ที่ในช่วงเวลานั้น อาจารย์ วารินทร์ ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพบกับ พล.อ.สนธิ ที่ในเวลานั้น ยังได้พบกับ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เพื่อน ตท. 6 ของ พล.อ.สนธิ ด้วย ที่ตอนนั้นยังเป็น รองผบ.สส. ที่ถูกเตะออกมาจากกองทัพเรือ “ ท่านสถิรพันธุ์เดินมา ผมนั่งมอง รองผบ.สส. ท่านบอกว่า อยากเป็น ผบ.ทร. ท่านพูดตรงๆ ผมก็บอกไปทำตรงนั้นตรงนี้ ให้ลูกชายไปบวช พอฐานบุญเปิดแล้ว ผมก็แสดงความยินดีกับท่าน ว่าได้เป็นแน่ ในช่วงนั้น พี่ติ๋ว (พรเพ็ญ ภริยา พล.ร.อ.สถิรพันธุ์) โทรหาผมตลอด บอกอาจารย์ชื่อหลุดแล้ว ผมบอกว่าไม่หลุด ให้ไปเติมบุญ ไปทำบุญตรงนั้น แล้วคำสั่งออก พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ ข้ามห้วยกลับมาเป็น ผบ.ทร. ” อาจารย์ วารินทร์ เผยความลับ

ไม่แค่นั้น อาจารย์ วารินทร์ ยังเคยดูดวงชะตาให้กับ บิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ว่าจะได้เป็น ผบ.ทอ.ด้วย ที่สำคัญ แคนดิเดทในเวลานั้น ต่างวิ่งเข้าหา โหรผู้นี้กันหมด ในช่วงนั้น ทั้ง พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ และ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี มาให้ดูดวงชะตาให้ “ ตอนนั้นผมบอก ท่านระเด่น พึ่งพักตร์ มีปัญหา ส่วน ท่าน ธเรศ ปุณศรี ผมนั่งดู ไม่ได้ทั้งสองคน กลายเป็น ท่านชลิต ”

แต่ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนว่า อาจารย์ วารินทร์ มีความรู้จักสนิทสนมใกล้ชิด และเป็นที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ให้กับ นายทหารแห่ง ตท. 6 มานานแล้ว จึงไม่แปลกที่ เมื่อ ตท. 6 จะก่อการยึดอำนาจ อาจารย์ วารินทร์ ก็ต้องคอยตรวจเรื่องดวงชะตาให้ แล้วกลายเป็น โหร คมช. ในที่สุด.. รวมทั้งเบื้องหลังการหาฤกษ์ปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 จากปาก โหรวารินทร์ ที่ไม่เคยเปิดเผยอย่างละเอียดยิบที่ไหนมาก่อน “ ตอนเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ ผมมองเห็นการปฏิวัติ แล้วผมก็โทรคุยกับ พล.อ.สนธิ ผมบอกว่าที่ผมพูดเรื่องท่านเคยเป็น ทหารเอก ของพระเจ้าตากสินฯ เป็นเรื่องจริง ต้องกู้ชาติ ท่าน สนธิ บอก ผมคนเดียวไปทำอะไรได้ แต่ผมบอกว่า ผมเห็นภาพ มันเป็นทหาร ผมพูดแล้ว ท่านบอกว่า คอยดู ”

ในเวลานั้น พล.อ.สนธิ มีแนวคิดที่จะก่อการยึดอำนาจอยู่บ้างแล้ว “ ผมนั่งคุยกับท่าน สนธิหลายครั้ง ท่านบอกว่า โทษประหาร เป็นกบฏนะ แต่ผมบอกว่า ผมเห็นท่านปฏิวัติ ท่านมองหน้าผมยิ้มๆ บอกว่าดูๆไป ” อาจารย์ วารินทร์ เล่า

ในช่วงนั้น พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ก็มาหา อาจารย์ วารินทร์ “ ท่านชลิตมาหาผม ผมบอกว่า ท่านเตรียมตัว ผมเห็นการปฏิวัติของ พล.อ.สนธิ ท่าน ชลิต ยังบอกว่า ถ้า พี่ธิ เอา ผมเอา ผมเต็มร้อย ” อาจารย์ วารินทร์ เล่าเบื้องหลัง “ ผมถามว่า บอก พล.ต.อ.โกวิท (วัฒนะ ผบ.ตร.) หรือยัง ท่านสนธิ บอกว่า ผมได้แต่คุย แต่ไมมีโอกาส ไม่เป็นไรช่างมันเถอะ เราเอามันก็เอา ท่านสนธิ ว่า ”

อาจารย์ วารินทร์ เล่าด้วยว่า ก่อนหน้านั้น ป้าหล้า นางปิยะดา บุญยรัตกลิน ภริยา จะเดินทางไปประเทศจีน ที่สำคัญ เป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่อยู่ เดินทางไปต่างประเทศ “ ท่านสนธิ โทรมาถามอีกว่า ช่วงนี้ดีไหม อาจารย์ยังเห็นภาพเดิมหรือเปล่า ผมบอกผมเห็นผมเห็น และบอกว่าไม่จำเป็น อาจารย์ ก็อย่าเพิ่งลงมา กรุงเทพฯ ”

แต่ทว่า ในวันที่ 18 ก.ย. 2549 อาจารย์ วารินทร์ คงตื่นเต้นและลุ้นไม่น้อย อยากที่จะมาช่วยอย่างใกล้ชิด จึงได้เดินทางมากรุงเทพฯ ในหนังสือเล่มนี้ ยังเปิดเผย เบื้องหลังการตั้งพรรครักชาติ ที่เคยถูกมองว่าเป็น พรรค คมช. ซึ่งมี อาจารย์ วารินทร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกับ พล.อ.สนธิ และ ร.อ.ขจิต หัพนานนท์ ลูกศิษย์ แต่ที่สุดก็ต้องล้มเหลว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง ดวงชะตาของ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่มีบุญบารมีถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จากหมอดูหลายคน รวมทั้ง โหรเก่งกาจ จงใจพระ อดีตโหร รสช. และ อ.วารินทร์ ระบุว่า ในชาติก่อนก็คือ ทหารเอกพระเจ้าตากสินฯ และ แผนการดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสธ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ค้ำราชบัลลังก์ เพื่อเตรียมรับวิกฤติในอนาคตอันใกล้ และเสียงทักท้วง เรื่องอาถรรพ์ เก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องระวัง

“ลับ ลวง พราง ภาคพิสดาร” : “ทักษิณ-สนธิ ลิ้ม” ดิจิตอลขมังเวทย์

หมวดข่าว : วิเคราะห์

วาสนา นาน่วม เขียนหนังสือการกุศลเพื่อทหาร ชายแดนภาคใต้ เขาพระวิหาร และสมทบทุนสร้างพุทธมณฑลล้านนา จ.เชียงใหม่ ชื่อ "ลับ ลวง พราง ภาค" โดยได้ ขนานนาม "ทักษิณ-สนธิ ลิ้ม ดิจิตอลขมังเวทย์ และบทบาท "หมอผีเขมร ของ เนวิน ก่อนเนรคุณ "นาย" หนังสือนี้ยังได้เปิดปมสงครามไสยศาสตร์-ความเชื่อ / "ทักษิณ-ตากสิน" กับข้อหานิยมประธานาธิบดี-ล้มล้างระบอบ โยงความเชื่อ ชาติภพก่อน "พระเจ้าตากสิน "/เบื้องหลังการปฏิวัติ ล้มระบอบทักษิณ พิธีกรรมที่วัดอรุณฯ-ดอยสุเทพฯ/เปิดการล้มแผนแก้กรรม-สะเดาะเคราะห์ของ "ทักษิณ ก่อนกลายเป็นผู้ร้ายถูกออกหมายจับ

ในหนังสือที่มีจำนวน 303 หน้า จำนวน 35 ตอน

หนังสือ “ ลับ ลวง พราง ภาคพิสดาร ” ไสยศาสตร์ปฏิวัติ อวิชชาธิปไตย ” เปิดปมมนต์ดำสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องโดนปฏิวัติล้มล้างอำนาจ นอกจากพฤติกรรมเหลิงอำนาจ และวางตัวไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีสาเหตุหนึ่งมาจากความเชื่อที่ว่า เขาคือ พระเจ้าตากสินฯ กลับชาติมาเกิด อันเป็นความเชื่อตามตำนานและประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจ เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน แต่ที่สุดเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้นราชวงศ์จักรี ได้มีการประหารพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งโดนกล่าวหาว่า "สติวิปลาสฟั่นเฟือน" และถูกทุบด้วยท่อนจันทน์ จนนำมาซึ่งตำนาน "คำสาป "ของพระเจ้าตากสินฯ ก่อนสวรรคต จนทำให้มีการโยงกับแนวคิดเรื่องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือแนวคิดเรื่องประธานาธิบดี นั่นเอง

แต่กระนั้น ก็ยังรวบรวมความเชื่อและตำนานเรื่องพระเจ้าตากสินฯ ที่ลบล้างความขัดแย้งกับ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ว่าพระองค์ทรงรู้เห็นให้พระเจ้าตากสินฯ หนีไป โดยมีนายทหารใกล้ชิดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าตากสินฯ ยอมถูกประหารแทน และมีทหารเอก 10 คน ได้นำพระเจ้าตากสินฯ หนีไปยังภาคใต้ จนเป็นตำนานของ วัดเขาขุนพนม จ.นครศรีธรรมราช ที่พระองค์ทรงไปบวช แล้วละสังขาร ก่อนที่ทหารที่ตามฆ่าพระองค์จะมาถึง

นี่เองที่ว่าเพราะเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ กำหนดต้องไปทำพิธีบวงสรวง เป็นวัดที่ 99 วัดสุดท้ายในการเดินสายทำบุญสะเดาะเคราะห์แก้กรรม หลังจากที่กลับประเทศ ครั้งล่าสุดเมื่อ 28 ก.พ. 2551 แต่ก็มีอันไม่ได้ไปทำพิธี แต่มีนายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว ไปทำพิธีแทน


วาสนา นาน่วม ออกตัวไว้ในหนังสือการกุศลเล่มนี้ว่า

"ไม่ต้องการลบหลู่ความเชื่อของคนที่เคารพรักบูชาพระเจ้าตากสิน แต่แค่ต้องการสะท้อนความเชื่อในอีกมุมหนึ่งที่ถูกลากโยงไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อหวังเป็นจิ๊กซอว์ต่อเติมความเข้าใจเบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ที่อาจขาดหายเว้นวรรคไป เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวม และสะท้อนให้เห็นว่า นอกจากจะเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันแล้ว ยังมีการต่อสู้ทางไสยศาสตร์ อันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นด้วยนั่นเอง และปรากฏชัดถึง การทำสงครามไสยศาสตร์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เป็นตัวแทน ในการต่อสู้เพื่อแก้มนต์ดำที่ครอบการเมืองไทย ที่บางเรื่องดูมีน้ำหนัก แต่หลายเรื่องก็กลายเป็นความเข้าใจผิด เพราะหลงอยู่ในศึกไสยศาสตร์"
หนังสือมีการหยิบยก กรณีที่ นายสนธิ เปิดศึกไสยศาสตร์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งการแฉเรื่องพิธีในวัดพระแก้ว การทุบพระพรหมเอราวัณ การทำลายปราสาทหินพนมรุ้ง การทำพิธีที่พระพรหมที่ทำเนียบรัฐบาล การสร้างพระหน้าเหลี่ยม หรือความเชื่อเรื่อง เป็นกษัตริย์พม่า ที่มีรูปวาดหน้าตาเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้ง พฤติกรรมความเชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในเรื่องโชคลาง โชคชะตาและการถือเคล็ดๆ ต่าง โดยเฉพาะหลังถูกปฏิวัติและกลับเมืองไทย ที่ต้องเร่งทำบุญสะเดาะเคราะห์ เพื่อหวังพ้นคดีและกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง

แต่สุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พ่ายแพ้ทั้งสองศึก ต้องกลายเป็นคนไม่มีแผ่นดินอยู่ เร่ร่อน ด้วยวิบากกรรมยังไม่จบสิ้น หากแต่ความแค้น ทำให้เขาประกาศต่อสู้ทวงคืนอำนาจ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม

รวมทั้งเป็นการวิเคราะห์ความเกี่ยวโยงระหว่าง ความเชื่อของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคนในระดับสูง จนถึงระดับปฏิบัติการ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับชาติปางก่อนที่เคยเป็น พระเจ้าตากสิน กับเหตุจูงใจในการปฏิวัติล้มระบอบทักษิณ หรือไม่ และเปิดเผยข้อมูลบางอย่าง ที่ทำให้มีน้ำหนักเชื่อมโยง ทั้งการที่มีคนบางกลุ่ม และบิ๊กทหารบางคนไปทำพิธีที่วัดอรุณราชวราราม ที่อยู่ติดกับ พระราชวังเดิมของพระเจ้าตากฯ ที่กองทัพเรือ ก่อนที่จะมีการปฏิวัติ
ในจำนวนนี้ สายข่าวฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับทราบ นั้น มีการพาดพิง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.รมน. ที่ในอดีตเคยอยู่ฝ่ายคณะปฏิวัติ และเคยโดนกล่าวหาในคดีคาร์บอมบ์ ลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.พัลลภ ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ไม่เคยมีความเชื่อดังกล่าว และตนเองเป็นนักรบ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวในเรื่องพิธีกรรมไสยศาสตร์ใดๆ “ ผมไม่เคยเล่นเรื่องแบบนี้ ”
หรือแม้แต่ ข่าวลือในเมืองเหนือ ถึงพิธีเชือดไก่ บนดอยสุเทพฯ ที่ไม่มีใครรู้ว่า จริงหรือไม่ แล้วใครเป็นคนลงมือทำพิธี แต่ก็มีความพยายามจะโยงกับการแก้เคล็ดไสยศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยนั่นเอง
ในหนังสือ มีการยกตัวอย่าง ความเชื่อดังกล่าว เช่น ทั้งการเปรียบเทียบ พระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชนเชื้อสายจีน ที่นำกู้ชาติสำเร็จและ “ ปราบดาภิเษก ” ขึ้นเป็นกษัตริย์ และ การเขียนชื่อ THAKSIN เป็น TAKSIN หรือ แม้แต่ ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีผู้กำกับชื่อดัง มีแผนที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่อง “ พระเจ้าตากสินฯ ” ที่จะให้ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้แสดง หรือแม้แต่การที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทบ. ทำการฝึกกองกำลังให้กลุ่มเสื้อแดง ที่ใช้ชื่อว่า “ นักรบพระเจ้าตากฯ ” ที่แม้ว่า พล.ต.ขัตติยะ จะออกตัวว่า ไม่เกี่ยวกับความเชื่อนี้ก็ตาม
พ.ต.ท.ทักษิณ เอง เดิมไม่เชื่อเรื่องชาติภพก่อนจะเป็นพระเจ้าตากสินฯ เพราะเป็นที่เคารพเชื่อถือของผู้คนมากมาย ซึ่งในจำนวนนี้ อาจไม่ชอบเขา แต่เมื่อมีหมอดูหลายสำนักและพระครู ทายทัก เขาจึงเริ่มเชื่อและโยงใยเรื่องต่างๆ จนเขาต้องไปทำพิธีที่วัดเขาขุนพนม
ในหนังสือ ยังโยงถึงการที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งก็มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และภายหลังปรากฏชัดในภาพของ ศาสดาจากกรณีเรื่อง การพรมน้ำมนต์ในทำเนียบฯ เรื่องผ้าอนามัยที่ลานพระรูปทรงม้าฯ ได้เคยมีการเปิดประเด็น โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนจะปฏิวัติ แล้วไปทำพิธีทำบุญประเทศในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งถูกมองว่า เป็นการ “ ปราบดาภิเษก ”
บนเวทีพันธมิตรฯ นายสนธิ ได้เผยเบื้องหลังในเชิงไสยศาสตร์ว่า การกระทำนี้ เป็นเคล็ดเพื่อเทียบเสมอพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง โดยอ้างว่า ในวันนั้นมีการดึงหินที่อยู่ด้านหลังขององค์พระแก้วมรกตลงมาก้อนหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ที่ด้านหลังองค์พระแก้วมรกตนั้น มีก้อนหินอยู่จริงหรือไม่
“ พระแก้วมรกต ที่มีการดึงหินก้อนหนึ่งออกมา เพราะมีคนใจชั่ว ร่วมกับคนบางคนในสำนักพระราชวัง ให้หมอเขมรเข้าไปแกะหินก้อนนี้ออกมา หินก้อนนี้ทำหน้าที่ส่งพลังออกมา ” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังจุดประกายความคิดให้คนไทย ได้ฉุกคิดว่า เหตุการณ์ทุบทำลาย พระพรหม เมื่อ ตี 1 วันที่ 21 มีนาคม 2549 นั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือเป็นเรื่องธรรมดา หากแต่ผ่านการวางแผน และเป็นพิธี ฝังรูปฝังรอย


นายสนธิ ระบุด้วยว่า หาใช่แค่การทุบพระพรหมเอราวัณ แต่มีการทุบพระพรหมที่ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งกรณีทุบพระพรหมเอราวัณวันนั้น คนทุบที่บอกว่าเป็นคนบ้า ก็ถูกฆ่าตายอย่างปริศนาแล้วก็เงียบหายไปเลย ท่ามกลางเสียงร่ำลือกันว่า เส้นผมและดวงชะตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นำไปใส่ไว้ใต้ฐาน พระพรหมองค์ใหม่นั้น เพื่อให้ดวงเมือง และดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชงกันไปตลอด นั่นเอง แต่ในเวลานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบโต้เสียงวิจารณ์ต่างๆ ว่า “ อันนั้นนั่นเสียสติ ”
หรือแม้แต่การโยงเหตุการณ์มีผู้ทุบทำลาย ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ และพิธีกรรมที่ วัดบางละมุง จ.ชลบุรี ที่ นายสนธิ พยายามชี้โยงให้ การทำพิธีไสยศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ
“ พระเจ้าตากสินทรงปลูกต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อเป็นหลักของชาติไว้ที่วัดบางละมุง ขณะเดียวกันได้หล่อพระศรีอารยเมตรัย เพื่อเป็นหลักธรรม ตั้งตรงกัน แต่ปรากฎว่าเมื่อปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยการสร้างพระขึ้นมาใหม่เรียกว่า “ พระชินวัตรมุนี ” หน้าเหลี่ยมมาวางเอาไว้คั่นกลางระหว่าง พระศรีอารยเมตรัย กับ ต้นสน เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์หลักของชาติและหลักของศาสนา แล้วก็ส่งความศักดิ์สิทธิ์ให้ พระชินวัตรมุนี ซึ่งหน้าเหมือนคนหน้าเหลี่ยม เป็นการทำเพื่อเอาเคล็ด เพื่อให้พระศรีอารย์ฯ ส่งพลังเข้า พระชินวัตรมุนี ขณะเดียวกันได้นำ พระแก้วมรกตจำลอง ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของพระมหากษัตริย์มาวางไว้ข้างล่างให้ต่ำกว่า พระชินวัตรมุนี มีเจตนาทำเป็นเคล็ดให้เหมือนที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่ด้านข้างสองข้างของพระแก้วมรกต จะ มีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ อยู่ซ้าย และปางห้ามสมุทร อยู่ขวา โดย พระแก้วมรกตต้องวางไว้สูงสุด ซึ่งถูกวางประจำในวัดประจำพระราชวงศ์จักรี เป็นเจตนาที่เอาหลักชาติ คือต้นสน มาสกัดหลักเมือง โดยมี พระชินวัตรมุนี ซึ่งทรงพลังสูงสุดในชาติแทนพระแก้วมรกต
นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นว่า การหล่อพระพุทธรูปชินวัตรมุนีองค์ใหญ่ขึ้นมาและวางตรงนั้น เพื่อรับพลังจากหลักชาติ และฐานของพระพุทธรูป ดังกล่าวยังหล่อเป็นรูปนักการเมืองหลายคน เพื่อเป็นหลักคำชูให้ พระชินวัตรมุนี
ทั้งๆที่เป็นเรื่องของอารมณ์ขันทางการเมืองของศิลปินผู้ก่อสร้าง แต่ นายสนธิ ก็ปลุกกลุ่มพันธมิตรฯชลบุรี ให้ไปที่วัดนี้เพื่อให้ทุบทำลาย ฐานพระรูปที่มีรูปนักการเมืองคนสำคัญ รวมทั้ง บางรูปปั้นที่สวมแว่นตา ที่ นายสนธิ เชื่อว่า เป็นคนสำคัญของประเทศ แต่ ช่างผู้ปั้น ระบุว่า คือ นาย บัญญัติ บันทัดฐาน ก็ตามที
ในหนังสือเล่มนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็น 2 ดิจิตอลขมังเวทย์ ของ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายสนธิ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์อย่างมาก แถมที่มีปรึกษา อย่าง หมอผีเขมร นายเนวิน ชิดชอบ ในเวลานั้นด้วย ส่วน นายสนธิ มองว่า ตัวเองรู้ทันกลเกมไสยศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นตัวแทนในการต่อสู้ในสงครามไสยศาสตร์เพื่อล้างมนต์ดำที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเอาไวเพื่อหวังที่ต้องการครองอำนาจครองประเทศไปตลอด ทั้งการแก้เคล็ดที่ พระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล ที่เขาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พาหมอผีเขมรมาทำพิธีและขึ้นนั่งคร่อม จนเมื่อ กลุ่มพันธมิตร มายึดทำเนียบฯ ก็นำผ้าดำมาคลุมสี่ทิศ และนำขึ้ผึ้งและทองคำเปลวมาปิดพระเนตรเอาไว้เพื่อแก้เคล็ด
แต่ได้มีการรวบรวมความเชื่อของทหารเรือ ในตำนานพระเจ้าตากสินฯ และสัมภาษณ์ โหรดังฝ่ายทหาร ทั้ง อาจารย์ วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช. และ นายเก่งกาจ จงใจพระ อดีตโหร รสช. ที่เชื่อแย้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่พระเจ้าตากสินฯกลับชาติมาเกิด และเชื่อว่า พระองค์ท่าน ได้กลายเป็น พระสยามเทวาธิราช ที่คอยปกป้องดูแลชาติบ้านเมืองแล้ว ไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว
รวมทั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ที่ก็ยอมรับว่า สับสน ไม่มั่นใจว่าจะเชื่ออย่างไร เพราะตนเองก็ได้ยินเรื่องที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในชาติภาพก่อน เป็นพระเจ้าตากสินฯ แต่เมื่อ อาจารย์ วารินทร์ เห็นในนิมิตว่า พล.อ.สนธิ ในชาติภพก่อนคือ ทหารเอกพระเจ้าตากสินฯ ที่ต้องมากู้ชาติในชาตินี้
“ ถ้าผมเป็นทหารเอกพระเจ้าตากสินฯ ผมก็ต้องอยู่ฝ่าย นายกฯทักษิณ แล้วผมจะอยู่ข้างไหน ผมก็ต้องกู้ชาติ ” พล.อ.สนธิ กล่าวด้วยความสับสน แต่ที่สุดเขาก็ต้องสลัดตัวเองจากเรื่องตำนานความเชื่อ แล้วปฏิวัติล้มอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ คนที่เขาเชื่อว่า มีแนวคิดในการล้มล้างระบอบฯ
นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้ ยังระบุถึงอีกความเชื่อที่ว่า ในชาติภพหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยเกิดเป็นกษัตริย์พม่า ซึ่งเคยก่อกรรมกับคนไทย ในสมัยอยุธยาไว้ จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องไปแก้กรรมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งที่กลับมาเมืองไทย หลังการปฏิวัติ โดยมีการโยงกับ สายสัมพันธ์ที่ดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับผู้นำทหารพม่า ในเชิงประโยชน์ทั้งการปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน และการทำธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมกับพม่า
รวมทั้ง เปิดแผนการช่วยฟื้นชีพ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงหลังปฏิวัติเรื่อยมา ทั้งการที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เคยประสานผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อขอให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. ในเวลานั้น ทำพิธีทำบุญถวายในหลวง “ มหาสังฆทาน รวมพลังไทยเพื่อพ่อของแผ่นดิน ”
ที่หากมองผิวเผินแล้ว จะไม่มีใครหยั่งรู้หรือฉุกคิดเลยว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของงานบุญมหากุศลครั้งนี้ เป็นเรื่องไม่ธรรมดา และเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนจะถึงวันเกิดของ 26 ก.ค.ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย
เพราะในแง่รูปแบบของงานบุญนี้ ก็ค่อนข้างแปลก ตั้งแต่ การทำบุญตักบาตร์ พระสงฆ์ 999+9 รูป จากวัดประจำรัชกาลที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่จะทำพิธีกันตั้งแต่ หกโมงเช้า ถึง แปด โมงเช้าของวันที่ 20 ก.ค. 2551 และในเวลา 6 โมงเย็น จนถึง 6 โมงเช้า ของวันที่ 21 ก.ค. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ที่คาดว่าจะมีคนไทยร่วมงานราว 1 แสนคน ที่จะกึกก้องด้วยเสียงบทสวดคาถาชินบัญชร
หรืออีกนัยหนึ่งเสมือนเป็นพิธีการทำบุญประเทศ เพราะจุดหมายคือ ทำบุญให้กับประเทศ มีปัญหาความแตกแยกสามัคคี ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และวิกฤติเศรษฐกิจ
แต่พิธีนี้ ถูกนายสนธิ โจมตีเสียก่อนจนต้องยกเลิกไป ที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกี่ยวข้องกับแผนการ อาศัยดวงชะตาบุญบารมีของ แม่ทัพนายกองในกองทัพ มาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีหมอดูพม่า ทายทักว่า หลังเกิดพายุนาร์กีสที่ทำให้ชาวพม่าเสียชีวิตจำนวนมากและกระทบต่อความมั่นคงของเจดีย์ชเวดากอง จนต้องให้มีการทำพิธีนี้ แต่ถูกสกัดกั้นเสียก่อน จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่พ้นบ่วงกรรม

ครม.ต่างตอบแทนดันแกนนำพธม.รุ่น2ผงาดผช.รมต.

หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

ครม.เตรียมอนุมัติ กก.ผู้ช่วยรัฐมนตรี ตบรางวัลแกนนำพันธมิตรรุ่น 2 “ สำราญ รอดเพชร ” นั่งกก.ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนาธรรม ส่วนสายทศวรรษใหม่ หักสายผลัดใบ ส่ง“ ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ” เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์

การประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.พ. ) มีวาระที่น่าสนใจคือ การเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เข้าเป็นวาระจร ภายหลังจากที่นายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือ เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อกำหนดเป็นตำแหน่งที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งล่าสุด ป.ป.ช.มีมติกำหนดให้ตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เนื่องจาก ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 40 ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งประกอบด้วย

1.นายยุพ นานา เป็นกรรมผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน (นายไพฑูรย์ แก้วทอง)

2.นายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่นที่ 2 กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม (นายธีระ สลักเพชร)

ก่อนหน้านี้แกนนำพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นนายประพันธ์ คูณมี ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์

นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ เป็นที่ปรึกษานายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข

3.นางนวลพรรณ ล่ำซ่ำ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร)

4.น.ส.ศุภลักษณ์ ตั้งจิตศิลป์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)

5.นายพนิช วิกิจเศรษฐ์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายกษิต ภิรมย์)

6.นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร .อดีต ส.ส.มหาสารคาม ที่ยื่นให้เรื่องให้ปปช.ตรวจสอบคดีทุจริตเรื่อ-รถดับเพลิงของกทม.หรือ นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ เป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ (คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช)

7.นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายวิทยา แก้วภราดัย)

จากรายชื่อดังกล่าว ในพรรคประชาธิปัตย์ได้เกิดความเห็นไม่ลงรอยกัน กรณีมีการเสนอชื่อ นายยุทธพงษ์ เข้ามาเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยได้สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำพรรคสายผลัดใบ เป็นอย่างมากเนื่องจาก นายยุทธพงษ์ เป็นสายใกล้ชิดกับกลุ่มทศวรรษใหม่ เนื่องจากเป็นต้นเหตุให้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่ากทม.ต้องหลุดจากเก้าอี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าหาก นายยุทธพงษ์ ไม่ได้กรรมการผู้ช่วยรมว.วิทยาศาสตร์ ก็จะให้เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายถาวร เสนเนียม ) แต่ทั้งนี้ ต้องรอการตัดสินใจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อีกครั้ง

การเสนอรายชื่อกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่เสนอครบตาจำนวนรัฐมนตรี แต่จะเสนอเฉพาะกระทรวงที่มีความจำเป็นเท่านั้นโดยจะเน้นในเรื่องเศรษฐกิจ ต่างประเทศ และด้านสังคมเป็นหลัก โดยการเสนอรายชื่อกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์กำหนดไว้สองทางคือ ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเป็นผู้เสนอชื่อขึ้นมาเอง พร้อมกับระบุเหตุผลและความจำเป็นในการแต่งตั้งเข้าช่วยงาน และให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้พิจารณาตัวบุคคลอีกครั้งตามความเหมาะสม

ส.ว.นัดถก3ฝ่ายหาทางออก'เอเน็ต'แฉสกอ.แก้หลักฐานย้อนหลัง

หมวดข่าว : การศึกษา
โดยทีมข่าว : การศึกษา
กมธ.สิทธมนุษยชน ส.ว.นัดถกวันนี้ไกล่เกลี่ยหาทางออกนักเรียนที่พลาดสอบเอเน็ต เตรียมเปิดข้อมูลเด็ดสกอ.แก้ประกาศย้อนหลัง ยุส่งเด็ก 1 แสนคนที่เกิดความผิดพลาดในรอบ 3 ปี ฟ้องศาลกรณีเลิกระบบเอเน็ต ท้าถ้าเอเน็ตดีจริงทำไมต้องเลิก ด้าน "ชัยวุฒิ" เผยนักเรียนร้องทุกข์ไม่ได้สมัครเอเน็ตเกือบ 100 ราย ไม่พบว่าระบบผิดพลาด รอดูปัญหานักเรียนทั่วประเทศก่อน ปูดเริ่มมีนักเรียนคัดค้านการคืนสิทธิ์แล้ว ส่วนนักเรียนต่างจังหวัดตรวจสอบชื่อศูนย์เปิดรับเรื่องร้องทุกข์ได้ที่เว็บไซต์ www.cuas.or.th
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหา ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เปิดเผยว่า วันนี้ (10 ก.พ.) กมธ.ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตัวแทนผู้ปกครอง และนักเรียนที่มีปัญหาการสมัครสอบการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (เอเน็ต) มาหารือกันที่อาคารวุฒิสภา ในเวลา 15.00 น. เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยเด็กจะได้เข้าสอบและมีโอกาศศึกษาต่อในสาขาที่ตนเองถนัด
ทั้งนี้ เขาได้รับการประสานจากนักเรียน ว่า มีข้อมูลที่ระบุวันที่การชำระเงินซึ่งเดิมในปฏิทินการสมัครสอบเอเน็ต ไม่มี แต่มีการเข้าไปแก้ไขในอินเทอร์เน็ตให้มีการระบุวันชำระเงิน ซึ่งตรงนี้ไม่มีปัญหาเพราะเด็กนักเรียนปริ้นเอกสารแบบฟอร์มดังกล่าวออกมาเก็บไว้แล้ว และจะส่งให้กมธ.ในวันนี้ (10)
นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ระบบเอเน็ตที่มีปัญหาในขณะนี้เกิดการจากไม่ยอมรับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการสอบเอเน็นร่วม 1 แสนราย และขณะนี้ทราบว่ากระทรวงศึกษาธิการกำลังจะยกเลิกการสอบเอเน็ต ซึ่งนักเรียนเหล่านี้มีสิทธิที่จะฟ้องร้องจากการที่เขาเสียสิทธิอันมาจากระบบที่ล้มเหลว และถ้าหากระบบเอเน็ตดีจริงทำไมต้องยกเลิก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่สำนักงานสกอ. ชั้น 4 ซึ่งเปิดเป็นศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์จากนักเรียนที่มีปัญหาการสมัครสอบเอเน็ต วานนี้ (9 ก.พ.) เป็นวันที่สอง มีนักเรียนเดินทางมาประมาณ 10 คน บางคนยอมรับลืมไปชำระเงิน หรือมาร้องเรียนบ้างเผื่อว่าจะได้สิทธิ์คืน จนกระทั่งเวลา 10.30 น. นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางมาที่ สกอ. และหารือกับนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้พบกับ นางอัจฉรา แสงทองยิ่งดี ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี เข้าร้องเรียนสอบถามปัญหากับ นายชัยวุฒิ
นายชัยวุฒิ ชี้แจงว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจปัญหาที่เกิดขึ้น จากการเปิดรับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียนทั่วประเทศ แต่การแก้ปัญหาต้องเคารพสิทธิ์นักเรียนที่สมัครถูกต้องตามระบบจำนวน 1.9 แสนคน ทำให้การสอบเป็นไปด้วยความโปร่งใสที่สุด ตอบได้ทุกประเด็น ไม่ให้มีปัญหาตามมา ขอย้ำว่าหากการสมัครเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของระบบรับสมัคร นักเรียนจะได้รับคืนสิทธิ์สมัครแน่นอน หรือหากจะคืนให้ทั้งหมดก็เป็นเรื่องมนุษยธรรม
ส่วนนักเรียนในต่างจังหวัดซึ่งจะไปร้องทุกข์ได้ตั้งแต่วันนี้ (10 ก.พ.) เป็นต้นไป โดยสามารถตรวจสอบชื่อโรงเรียนที่เป็นศูนย์รับเรื่องฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.cuas.or.th มีจำนวน 88 โรงเรียน ทั้งนี้ จะสิ้นสุดการรับเรื่องร้องทุกข์ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด ในวันที่ 13 ก.พ.
รมช.ศธ.ไม่พบระบบสกอ.ผิดพลาด
นายชัยวุฒิ เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้สรุปว่ามีนักเรียนมายื่นร้องเรียน 85 คน ส่วนหนึ่งให้เหตุผลว่าในใบสมัครไม่ได้ระบุกำหนดสิ้นสุดการชำระเงิน มี 3 รายที่ร้องว่าบาร์โค้ดอ่านไม่ได้ บางส่วนยอมรับว่าลืม บางส่วนฝากคนอื่นชำระแล้วผู้รับฝากลืม ทั้งนี้ ยังไม่พบว่าเป็นความผิดพลาดเชิงระบบของ สกอ. แต่อย่างใด ขณะนี้ต้องการจะรอดูข้อมูลจากการเปิดรับร้องทุกข์ที่เปิดรับที่โรงเรียนประจำจังหวัดทั่วประเทศว่ามีปริมาณผู้ร้องเรียนเท่าใด และมีสาเหตุใดบ้าง ก่อนจะนำเสนอเป็นแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาต่อคณะกรรมการอำนวยการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยกว่า 20 แห่งเป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาตัดสินใจต่อไป
ทั้งนี้ ต้องจัดการแก้ปัญหาให้ไม่กระทบสิทธิของนักเรียนที่สมัครแล้ว 1.9 แสนคน ซึ่งจะมีประกาศเลขที่นั่งสอบในวันที่ 14 ก.พ.นี้ และหากต้องมีการเยียวยา หรือแก้ปัญหาโดยการรับสมัครนักเรียนกลุ่มนี้ คงจะเป็นการจัดห้องสอบแยกต่างหากออกมา และจะต้องสอบพร้อมกันในวันที่ 28 ก.พ. เพื่อความโปร่งใส ส่วนนักเรียนที่ยังไม่ได้สมัคร และจะมาร้องขอสมัครด้วย คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะจะกระทบต่อระบบทั้งหมด
รมช.ศึกษาธิการ ยังได้นำเอกสารมายืนยันด้วยว่า ในขั้นตอนการสมัครทางอินเทอร์เน็ต แม้จะไม่มีระบุวันสุดท้ายของการชำระเงินในใบสมัคร แต่ก่อนจะถึงใบสมัคร มีถึง 2 ขั้นตอนที่ระบุวันสุดท้ายของการชำระเงินที่ชัดเจนไว้ และผู้สมัครจะต้องกดปุ่มยอมรับและตกลงก่อนจะไปถึงหน้าใบสมัครได้ และปฏิทินกำหนดการต่าง ๆ ได้ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนส.ค. 2551 แล้ว
ว่อนเน็ตนักเรียนคัดค้านการให้สิทธิ์
ด้านนายสุเมธ กล่าวถึงนักเรียนที่ร้องเรียนปัญหาบาร์โค้ดอ่านไม่ได้ ว่า อาจมีปัญหาที่เครื่องอ่าน ซึ่ง 1 ใน 3 คนที่ร้องทุกข์เรื่องนี้ ทางที่ทำการไปรษณีย์ที่รับชำระชี้แจงมาว่า เครื่องอ่านมีปัญหา จึงได้แนะนำให้ไปชำระที่ธนาคารแล้ว ยืนยันว่าไม่มีความผิดพลาดที่บาร์โค้ดอย่างแน่นอน เพราะได้รับอนุญาตตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่ยังมีนักเรียนมาร้องทุกข์การไม่ได้ชำระเงินค่าสมัครสอบเอเน็ตอย่างต่อเนื่อง แต่บนเว็บไซต์ก็มีเด็กนักเรียนบางส่วนที่สมัครสอบเอเน็ตไปแล้ว ได้เขียนกระทู้บนเว็บไซต์ เช่นที่ เว็บ dek-d.com ตั้งหัวข้อว่า "คัดค้านการให้สิทธิ์แก่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ" ด้วย

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทลายโกดังซุกพระโบราณพบของกลางนับพันชิ้น

หมวดข่าว : สังคม

โดยทีมข่าว : ศิลปวัฒนธรรม

ตำรวจนำหมายศาลเข้าตรวจค้นหลังได้รับเบาสะแสว่าแหล่งเป้าหมาย เป็นที่เก็บวัตถุโบราณ พบของกลางจำนวนมาก คนดูแลบ้านยอมรับมีการซื้อขายวัตถุโบราณบางครั้งจ่ายกันนับล้าน แม่บ้านสาว "เสี่ยมารุต" เป็นเจ้าของ

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภมงคล รอง.ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ ผกก.สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี พ.ต.ท.วรพจน์ ชูเชิด รอง.ผกก.ป. พ..ต.ท.พลพรรษ ผ่องโอภาส สว.สป. พ.ต.ท.ภูริสิทธิ์ ทิมทอง สว.สส.สภ.คูบางหลวง ช่วยราชการ กสส.ภ.จว.ปทุมธานี และกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง นำหมายค้นจากศาลจังหวัดธัญบุรีเลขที่ 130/2552 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 51/83 ซอยรังสิต-นครนายก 12 ม.3 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เนื่องจากสืบสวนทราบว่าเป็นแหล่งซุกซ่อนโบราณวัตถุและพระพุทธรูปจำนวนมาก

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่าบ้านหลังดังกล่าว เป็นทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น โดยประตูเหล็กหน้าบ้านหลังดังกล่าวมีการคล้องโซ่และปิดล๊อคกุญแจอย่างแน่นหน้า นอกจากนี้ยังพบ น.ส.รัตนาภรณ์ อินทโชติ อายุ 21 ปี บ้านเดิมอยู่เลขที่ 71/1 ม.4 ต.แสนตอ อ.ขาณุวรลักษณ์ จ.กำแพงเพชร อยู่ภายในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงหมายค้น และทำการตัดลูกกุญแจเปิดประตูเข้าไปตรวจสอบด้านใน

ภายในบ้านหลังดังกล่าวเจ้าหน้าที่พบว่าที่บริเวณชั้นล่างนั้นมีวัตถุโบราณและพระพุทธรูปหลากหลายชนิดวาง ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตั้งเรียงอยู่ด้านในจำนวนนับพันชิ้น โดยพระพุทธรูปและสิ่งของต่างๆในบ้านมีลักษณะเก่าแก่ อายุหลายสิบหรือหลายร้อยปี

สอบสวน น.ส.รัตนาภรณ์ อินทโชติ กล่าวว่า บ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นของนายมารุต เปรื่องนา อายุ 41 ปี โดยบ้านหลังนี้นายมารุตไม่ได้มาอยู่ มีเพียงลูกๆ ของนายมารุตอยู่อาศัยทั้งหมด 3 คน โดยตนเองนั้นรับว่าจ้างให้มาเป็นแม่บ้านคอยดูแลบ้าน

ส่วนสิ่งของที่อยู่ในบ้านทั้งหมดนั้นจะมีคนนำมาให้นายมารุตในเวลากลางคืน และบางครั้งในเวลากลางคืนก็จะมีคนมาที่บ้านหลังนี้และจะตกลงซื้อขายของกัน โดยบางครั้งก็มีการซื้อขายกันได้เงินที่ละจำนวนมาก บางที 7-8 แสน บางครั้งเป็นล้านๆบาทก็มี

สำหรับนายมารุต จะมีภรรยาหลายคนและมีร้านอาหารอยู่หลายแห่ง ทั้งที่สวนจตุจักร และในหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปีที่ปทุมธานี ส่วนทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ตนเองก็ไม่ทราบว่าได้มาจากไหน ตนเองเป็นเพียงลูกจ้างที่นายมารุตจ้างให้มาดูแลเท่านั้น

น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงบ้านและแสดงหมายค้น ตนเองก็ได้โทรศัพท์ไปหานายมารุต และนายมารุตก็ได้รับสาย ตนจึงแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจค้นที่บ้าน ซึ่งหลังจากนั้นนายมารุต ก็ปิดโทรศัพท์ทันที จากนั้นตนเองพยายามติดต่อไปอีกหลายครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย

ด้าน พ.ต.อ.นันทชาติ ศุภมงคล รอง.ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นนั้นพบว่าบ้านหลังนี้มีวัตถุโบราณอยู่เป็นจำนวนมาก ร่วมทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ รวมแล้วนับพันชิ้น ซึ่งถ้าเป็นของเก่าแก่คงมีมูลค่าหลายสิบล้านบาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้อายัดไว้ตรวจสอบถึงที่มาที่ไป รวมทั้งจะได้ประสานงานไปยังผู้เกี่ยวข้องอาทิ กรมศิลปากร หรือผู้เชี่ยวชาญให้เดินทางมาตรวจสอบ และจะได้ติดตามตัวนายมารุต มาสอบสวนว่าสิ่งเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ถ้าเป็นสิ่งของที่ได้มาโดยผิดกฏหมายก็จะได้ดำเนินคดีต่อไป

ส.ส.เพื่อไทยบินไปฮ่องกงรายงานนายใหญ่“เสาร์-อาทิตย์” นี้

หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : รัฐสภา

“สมุนทักษิณ” เผย “เสาร์-อาทิตย์” นี้บุกฮ่องกง รายงานสถานการณ์ต่อ “นายใหญ่” ปัดข่าวบินไปรับเงิน จวก "เทพไท" มั่วข่าว สถานทูตจีน-ญี่ปุ่น ห้ามแม้วเข้าประเทศ เรียกร้องให้ออกมายืนยันให้ชัดเจน ก่อนกระทบความสัมพันธ์ของประเทศ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.สุราษฎร์ธานี โฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่าประเทศจีนและญี่ปุ่นขึ้นบัญชีดำห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าประเทศว่า ขอเรียกร้องให้สถานทูตของทั้ง 2 ประเทศที่ประจำอยู่ในประเทศไทย ออกมายืนยันว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะการออกมาพูดแบบนี้ไม่สร้างสรรค์ อาจสร้างความแตกแยกระหว่างคนไทยกับประชาชนของ 2 ประเทศนั้นได้ เพราะขณะนี้ยังมีชาวบ้านรักและชื่นชมในตัวพ.ต.ท.ทักษิณอยู่มาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย อยู่กว่า 10 ล้านคน ซึ่งชาวบ้านกลุ่มนี้อาจเลิกใช้สินค้าที่ผลิตจากญี่ปุ่น-จีน หันไปใช้สินค้าของเกาหลีแทนก็ได้ นายเทพไทเป็นถึงโฆษกส่วนตัวการแถลงข่าวอะไรถือว่าเป็นในนามตัวแทนของนายกฯ จะพูดเอามันไม่สร้างสรรค์ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างนี้ไม่ได้
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะกงแบบหลบๆซ่อนๆนั้น ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หลบๆซ่อนๆเข้ามาที่เกาะกง เพราะคนอย่างท่านจะไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ตนพร้อมด้วยนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และส.ส.อีกคนในกลุ่ม จะไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 7-8 ก.พ.นี้ ดังนั้นหากทางการจีนห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศตามที่นายเทพไทบอกจริง ทำไมถึงเข้าฮ่องกงได้ แต่การไปครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองอย่างที่มีบางคนพยายามให้ข่าว แต่ท่านเป็นเหมือนนายเราในอดีต เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่กำลังเดือดร้อน เราเป็นลูกหลานก็อยากไปถามสารทุกข์สุขดิบ ไปพูดคุยกับท่าน

“ชินวรณ์”เตือน"ทักษิณ”คิดผิดเล่นเกม3ประสานกดดันรัฐบาล

หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : รัฐสภา
ประธานวิปรัฐบาล ระบุ"ทักษิณ” คิดผิดที่จะเล่นเกม 3 ประสานกดดันรัฐบาล โต้ปชป ไม่คิดใช้ข้าราชการ เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ช่วยเหลือตัวเอง เหมือนรัฐบาลในอดีต
นายชินวรณ์ บุญเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล ให้สัมภาษณ์วันนี้ (6 ก.พ.) ถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะเคลื่อนไหวนอกสภา-ในสภากดดันรัฐบาล ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะห่างไกลสถานการณ์และความรู้สึกของประชาชนในประเทศพอสมควร โดยฟังแต่ผู้ใกล้ชิดหรือผู้ที่ยังเกาะติดกับการได้ผลประโยชน์และอำนาจจากพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความจริงแล้วในวันนี้ประชาชนต้องการเห็นประเทศชาติเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ และประชาชนอยากเห็นบรรทัดฐานทางการเมืองของไทยมีระบบกระบวนการที่มีจริยธรรมที่สูงขึ้น
"หากพ.ต.ท.ทักษิณ ทบทวนตรงนี้และพลิกกลับในการต่อสู้ใหม่ โดยระบบนิติธรรม เข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมของไทย และหยุดกระบวนการต่อสู้นอกสภา ไม่ว่าจะเป็นการกดดันโดยพลังมวลชนใดก็แล้วแต่ เพราะการไปเคลื่อนไหวดังกล่าวจะไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของตัวเอง"
นายชินวารณ์ กล่าวด้วยว่า ที่พ.ต.ท.ทักษิณ คาดหวังว่า ใช้กระบวนการของส.ส.ในพรรคฝ่ายค้านมากดดันการทำงานในสภา ผมคิดว่าคงคิดผิด เพราะส.ส.ในพรรคร่วมฝ่ายค้านเองขณะนี้ไม่มีเอกภาพที่นายกฯทักษิณจะสั่งซ้ายหันขวาหันเหมือนเคย และการทำงานในสภา พวกเขายึดหลักตรงไปตรงมา เปิดกว้างให้ประชาชนรับรู้อย่างโปร่งใส ดังนั้นการกดดันที่จะทำได้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องใช้เสียงข้างมาก ดังนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ควรให้เวลาสำหรับตัวเอง
"พรรคประชาธิปัตย์ยังให้เวลากับตัวเอง 8 ปีเป็นฝ่ายค้านเลย ฉะนั้นรอให้พรรคที่ท่านสนับสนุน ได้มีโอกาสได้เสียงข้างมากก่อน แล้วค่อยต่อสู้ในการแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ด้วยการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเรียกร้องเป็นการเรียกร้องด้วยความปรารถนาดี”นายชินวรณ์ กล่าวและว่า
หากพ.ต.ท.ทักษิณต้องการเป็นผู้นำทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องกล้าเป็นผู้นำที่ทดสอบด้วยกระบวนการนิติธรรม ซึ่งในบางประเทศก็เคยมีนายกรัฐมนตรีถูกจำคุก และสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก หากกล้าที่จะยืนอยู่บนความเป็นจริง และกล้าต่อสู้ แต่สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณทำในขณะนี้จะยิ่งทำให้คนเคลือบแคลง เช่นกรณีที่บริหารพรรคแล้วไม่สามารถคัดเลือกส.ส.ภายในพรรคเป็นหัวหน้าพรรคได้ ทำให้ไม่มีกระบวนการที่มีผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่ตำแหน่งดังกล่าวมีความสำคัญ ฉะนั้นควรให้เวลากับตัวเองต่อสู้ทางการเมืองตามระบบนิติธรรม เชื่อว่าจะได้รับการยอมรับ แต่ถ้ากลับมองว่าคนไทยสามารถควบคุมได้โดยตระกูลชินวัตร ตั้งพี่น้องไปคุมภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคกลาง ตนก็คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณยิ่งคิดผิดทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความพยายามกดดันของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นการสะท้อนว่าหวั่นไหวกับการทำงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยอมรับว่าช่วงที่เป็นรัฐบาลได้พยายามใช้กลไกต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่พรรคประชาธิปัตย์ มีความคิดแตกต่าง ไม่ยอมให้ข้าราชการมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และที่สำคัญคือ ให้ความเป็นธรรมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ควรมาถือธงอันเดียวกัน และมาอยู่ในระบบนิติธรรมและสร้างสังคมประชาธิปไตย

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเพื่อไทยโมฆะตั้งแต่ยังไม่ร่าง

หมวดข่าว : วิเคราะห์

โดยกองบรรณาธิการ



ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย พูดถึงแนวคิดออกพ.ร.บ.อภัยโทษ และพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้กับทุกคดีอาญาที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ว่า หากได้รับมอบหมายจากพรรคให้ทำหน้าที่หัวหน้าทีมปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ก็จะเสนอที่ประชุมพรรคเพื่อขอมติ ชูแคมเปญที่จะขออนุญาตจากประชาชนว่า บ้านเมืองมีเรื่องจำเป็นต้องทำ 3 เรื่องคือ


1.หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ใครก็ตามที่โดนลงโทษตามคำพิพากษาของศาล จะขออนุญาติออกพ.ร.บ.อภัยโทษให้กับทุกคน

2.ทุกคนที่ถูกกล่าวหาหรือมีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล จะแก้ปัญหาด้วยการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย

3.จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยเอารัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง

"เป็นการบอกให้ประชาชนรู้ว่าถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราก็จะทำในเรื่องเหล่านี้ ถ้าประชาชนเห็นด้วยก็เลือกพรรคเพื่อไทยให้มาก แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เลือกเรา ก็จบ ถือเป็นการขอประชามติจากประชาชนโดยตรงว่าเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เสนออย่างนี้ปัญหาก็ไม่จบเสียที ก็วัดกันด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้งไปเลย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังไม่ได้เริ่มยกร่างใดๆ ทั้งสิ้น และที่เสนอออกพ.ร.บ.จะมีเฉพาะคดีอาญาเท่านั้น ไม่รวมคดีการเมืองอย่างคดียุบพรรค"

ที่ร.ต.อ.พูดมา นั้น เป็นผลมาจากการสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โนอินมาปลุกระดมลูกะรรคเพื่อไทยให้พร้อมใจกันสู้ จึงได้มีประกาศ "ปฏิญญาเขาใหญ่" ซึ่งนโยบายออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักการเมืองที่โดนเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง รวมอยู่ด้วย

นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เตือนให้ระวังว่า ความคิดเช่นนั้นจะเป็นโมฆะตั้งแต่เริ่มต้น เหตุเพราะ

ประการแรก ชื่อกฎหมายก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นการนิรโทษกรรมให้บุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่อว่าหลักการ เหตุผล และแม้ชื่อร่างกฎหมายนี้ก็น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ประการที่สอง บทมาตราในร่างกฎหมายนี้คือการนิรโทษกรรมให้กับบุคคลที่ต้องคำพิพากษาในลักษณะดังกล่าว จึงขัดกับรัฐธรรมนูญในบทบัญญัติที่ต้องพิทักษ์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประการที่สาม ส.ส.และ ส.ว. มีพันธกิจในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญตามที่ได้ปฏิญาณตน โดยเฉพาะคือการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การนิรโทษกรรมจึงกระทบต่อการทำหน้าที่และจะทำให้เป็นการทำหน้าที่ไม่

ประการที่สี่ การยุบพรรคนั้นเป็นผลจากคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลผูกพันทุกองค์กร รวมทั้งรัฐสภาด้วย ความผูกพันมีทั้งในส่วนคำวินิจฉัยและคำตัดสิน ซึ่งในส่วนคำวินิจฉัยนั้นที่มีผลผูกพันอันเป็นนัยยะสำคัญคือคำวินิจฉัยที่ว่า

"พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ดำเนินการทางการเมืองเพื่อประชาชน แต่เป็นการดำเนินงานทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว เป็นการดำเนินงานทางการเมืองที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เป็นการดำเนินงานทางการเมืองทีเป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

คำวินิจฉัยนี้ผูกมัดและผูกพันทุกองค์กรให้จำเป็นต้องถือและปฏิบัติตาม ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจจะนิรโทษกรรมให้แก่นักการเมืองเหล่านั้นได้ และความพยายามใด ๆ ที่จะนิรโทษกรรมทางการเมืองอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย

ดังนั้น ร่างกฎหมายนี้จึงส่อว่าจะเป็นโมฆะ และต้องระมัดระวังด้วยว่าผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายอาจถูกกล่าวหาได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้

เพื่อไทยแฉ 2 ส.ส.รัฐบาลตุกติกลงคะแนนแทนกันทำให้องค์ประชุมครบ

หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : รัฐสภา
ส.ส.เพื่อไทยแฉ 2 ส.ส. รัฐบาล ตุกติกเพราะตัวโผลงานหมอลำซิ่ง แต่มีคนกดบัตรแสดงตน ส่วนอีกคนลงคะแนนซ้ำ จนทำให้องค์ประชุมครบ ถามหาจิตสำนึกรัฐบาล

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวพร้อมนำบันทึกการลงคะแนนมาชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวว่า ไม่คิดว่าจะพบกับสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์ หลังจากที่ตนเสนอให้นับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ เมื่อคืนวันพุธที่4 ก.พ.ที่ ผ่านมาแต่รัฐบาลกลับตำหนิว่าเป็นการนับองค์ประชุมพร่ำเพรื่อ ทั้งที่เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ อาจมีปัญหาหลังจากเห็นว่าในห้องประชุมสภาฯมี ส.ส.เหลืออยู่โหรงเหรง

ทั้งนี้ หลังจากที่ได้เคยเสนอนับองค์ประชุมครั้งแรกด้วยการเสียบบัตรไปก่อน ก็พบว่านายตุ่น จินตะเวช ส.ส.อุบลราชธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีชื่อว่าเสียบบัตรลงคะแนน ความจริงแล้วกลับไปปรากฎตัวในงานหมอลำซิ่งที่ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เขาได้ตรวจสอบว่ามีการเดินทางโดยเครื่องบิน และมีเลขที่นั่งชัดเจน ขณะที่นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมาแสดงตนด้วยวาจา ปรากฎว่ากลับมีบันทึกในรายงานของเจ้าหน้าที่สภาฯว่ามีการกดบัตรแสดงตนไปแล้วเช่นกัน

นายประชา กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นจิตสำนึกของฝ่ายรัฐบาลที่พูดเสมอว่าให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯ ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีความอ่อนแอ ในสภาฯยังหลอกลวงแล้วจะมาบริหารประเทศให้สุจริตได้อย่างไร หากสภาฯไปไม่ได้ นายกฯก็ควรลาออกหรือยุบสภาไปเสีย อย่าให้มีพฤติกรรมแบบนี้อีก และประธานสภาฯควรมีการสอบสวนว่าใครเสียบบัตรแทนกันต้องสมควรได้รับการลงโทษ

กรรมาธิการปปช.สภาฯเปิดเอกสารลับปมร้อนปลากระป๋องเน่า

หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : รัฐสภา

ปลัดปพม.ก้นร้อน กรรมาธิกาปปช.สภาฯ เปิดเอกสารปลากระป๋องเน่า 2 ฉบับโชว์สื่อ แฉพิรุธส่งมอบไม่ตรงกัน ตั้งข้อหาทำเอกสารเท็จ จี้แจงด่วน ขู่มีสิทธิ์โดนเด้งฐานผิดอาญา และจะตามสอบการขาย-ภาษีย้อนหลังบริษัทผู้ผลิต

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมส่วนใหญ่มีมติให้รับเรื่องกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ ร้องขอให้ตรวจสอบกรณีการแจกถุงยังชีพซึ่งมีปลากระป๋องที่หมดอายุ โดยในสัปดาห์หน้าจะเชิญนายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้าชี้แจง เนื่องจากมีหนังสือทางราชการ 2 ฉบับที่มีความขัดแย้งกันเอง

ทั้งนี้ ฉบับแรกนายวัลลภ ได้ทำหนังสือที่พม. 0201/1493 ลงวันที่ 19 ม.ค.2552 ถึงนายวิฑูรย์ ในฐานะรมว.การพัฒนาสังคมฯในขณะนั้น โดยระบุว่า ขอชี้แจงในเรื่องดังกล่าวว่า ทางสำนักงานปลัดกระทรวงได้รับการประสานแจ้งว่านายวิเชน สมมาตร มีความประสงค์จะบริจาคถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในจ.พัทลุง จำนวน 5 พันชุด โดยจะเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งเอง ทางสำนักงานปลัดจึงได้ประสานแจ้งไปยังพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จ.พัทลุง (พมจ.พัทลุง) ทราบ เพื่อดำเนินการตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค โดยมีถุงยังชีพที่ส่งมอบและดำเนินการแจกจ่ายให้ประชาชนแล้วจำนวน 1,500 ชุด ทั้งนี้ในช่วงปีงบประมาณ 2552 ที่ผ่านมาสำนักงานปลัดฯ ไม่เคยมีการจัดซื้อถุงยังชีพแต่อย่างใด

นายชาญชัย เปิดเผยว่า จากการประสานขอข้อมูลจากทางอย.และคณะกรรมการที่ลงไปตรวจสอบโรงงานที่ผลิตปลากระป๋อง นายทนง ทองกิ่งแก้ว เจ้าของโรงงานที่ผลิต ภายใต้บริษัท ทองกิ่งแก้วฟู้ดส์ จำกัด ระบุว่าเป็นการขายหน้าโรงงานแต่ไม่ทราบคนจัดซื้อ เป็นการจ่ายเงินสด ส่วนจะนำปลากระป๋องชุดดังกล่าวไปบริจาคหรือไม่นั้นไม่ทราบ

"มีข้อน่าสงสัยว่าภายหลังเกิดเหตุนายทนง กลับบอกว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บปลากระป๋องล๊อตดังกล่าวคืนมาทั้งหมด ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่พูดมาตั้งแต่ต้น"

อย่างไรก็ตาม พมจ.พัทลุง ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรว่า นายวิเชน ไม่ได้บริจาคของที่จ.พัทลุง แต่เป็นการจัดส่งมาจากส่วนกลาง ซึ่งนายชาญชัย กล่าวว่า แสดงว่าหนังสือที่ปลัดกระทรวงทำถึงรัฐมนตรีกับการชี้แจงของ พมจ.พัทลุง ขัดกัน เพราะมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งทางพม.จ.พัทลุง ได้ทำถึงสำนักงานปลัดกระทรวงเลขที่ พท.0004/132 ซึ่งระบุว่าตามหนังสือที่พม.0201/707 ลงวันที่ 9 ม.ค. 2552 แจ้งว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้รับการประสานจากนายวิเชน ที่มีความประสงค์บริจาคถุงยังชีพ โดยจะบริการจัดส่งให้ถึงพื้นที่จำนวน 5 พันชุดนั้น ทางพม.จ.พัทลุง ได้รับถุงยังชีพจำนวน 1,500 ชุด ซึ่งจัดส่งถึงพื้นที่วัดท่าสำเภาเหนือ ต.ชัยบุรี อ.เมือง พัทลุง เมื่อวันที่ 11 ม.ค2552 เรียบร้อยแล้ว แต่ได้มีการเขียนด้วยลายมือกำกับในตอนท้ายของหนังสือว่า “ไม่มีเพราะรับที่พัทลุง”

ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่าเอกสารใดเป็นเอกสารเท็จแน่ โดยปลัดกระทรวงต้องรับผิดชอบไปเต็ม ๆ หากพิสูจน์ได้ว่านายวิเชน ไม่ได้ไปบริจาคในพื้นที่อาจต้องโดนดำเนินคดีอาญา ฐานทำเอกสารรายงานเท็จต่อรัฐมนตรี

"ผมไม่ได้กล่าวหาว่าปลัดกระทรวงผิด แต่ท่านต้องมาชี้แจงในสัปดาห์หน้า ถ้าไม่มา หรือชี้แจงไม่ตรงกับความจริงผมจะแจ้งความดำเนินคดีอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และอาจถึงขั้นถูกย้ายทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเอาผิดถึงอดีตรมว.การพัฒนาสังคมฯ ได้หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ต้องสอบไปตามข้อเท็จจริง โดยไม่ได้กำหนดว่าขอบเขตอยู่ที่ใคร สอบถึงใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครปิดข้อเท็จจริงได้ ดังนั้น ต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้จัดเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อง่ายกับการตรวจสอบ ในส่วนของนายทนง ทางกรรมาธิการฯต้องเรียกมาสอบด้วย ถ้าไม่มาชี้แจงก็ต้องถูกดำเนินคดีอาญาเช่นกัน และอาจจะให้กรมสรรพากรลงไปสอบถึงการเสียภาษีที่ผ่านมาด้วย แต่เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้จะตรวจสอบย้อนหลังด้วยว่าบริษัทดังกล่าวได้เคยขายสินค้าให้กับกระทรวงกี่ครั้ง หากพบว่าผิดปกติรับรองมีคดีอาญาตามมาอีกหลายเรื่องแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาญชัย ได้แจกเอกสารการชี้แจงของนายทนง ต่ออย. โดยเอกสารระบุถึงข้อเท็จจริงกรณีปลากระป๋องมีกลิ่นคาวปลาว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทได้ผลิตปลากระป๋องตามมาตรฐานความสะอาด แต่กลินควาปลาน่าจะมาจากเครื่องคว่ำน้ำปลายที่หมุนเร็วเกินไป จนไม่สามารถทิ้งน้ำในกระป๋องที่เกิดจากการนึ่งออกไปได้หมด ทำให้เติมซอสมะเขือเทศในกระป๋องไม่ได้ตามขนาด เมื่อไปผสมกับน้ำที่เกิดจากการนึ่งปลาจึงมีกลิ่นคาวปลาอย่างแรง

ทั้งนี้ ผลวิเคราะห์ของอย.ระบุไม่พบสารปนเปื้อนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเรื่องทางบริษัทได้ส่งพนักงานลงไปตรวจสอบ และเรียกเก็บสินค้าคืนทั้งหมด พร้อมทั้งกล่าวขอโทษต่อชาวบ้าน และมอบเงินช่วยเหลือไปส่วนหนึ่งผ่านทางผู้ใหญ่บ้านเรียบร้อยแล้ว และได้รับคำยืนยันจากผู้ใหญ่บ้านในที่เกิดเหตุว่าไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายจากปลากระป๋องดังกล่าว

ส่วนข้อเท็จจริงกรณีวันเดือนปีที่ผลิตไม่ตรงกับความจริงนั้น ในเอกสารได้ยอมรับว่ามีการตีพิมพ์วันเดือนปีที่ผลิตไว้ล่วงหน้าเพื่อเก็บเอาไว้ขายในเดือนถัดไป เนื่องจากโรงงานจะหยุดการผลิตในเดือนส.ค.2551 โดยไม่ทราบว่าเป็นการผิดตามพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และพร้อมขอรับโทษต่อไป

อย่างไรก็ตาม บริษัท ยืนยันว่าบริษัทไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง หรือมีตำแหน่งที่ปรึกษาเป็นนักการเมืองตามที่ตกเป็นข่าว ดังนั้น จึงขอความเมตตาสงสารบริษัทด้วย เพราะยังไม่ทราบว่าจะกลับมาทำธุรกิจเมื่อใด และจะส่งผลมูลค่าความเสียหายมากมายจนไม่อาจรับได้

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วิฑูรย์แจงพรรควันพรุ่งนี้พร้อมประกาศไขก๊อกเพื่อรักษาพรรค

หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่า การประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ในวันอังคารที่ 3 ก.พ. นี้ นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสัวคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะเข้ามาชี้แจงกรณีปลากระป๋องเน่า ในถุงยังชีพ ที่แจกให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จ.พัทลุง ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรค

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมานายวิฑูรย์ เคยระบุว่า จะรอผลการสอบของคณะกรรมาธิการป.ป.ช. พิจารณาก่อน แต่ก็มีกระแสข่าวว่า นายวิฑูรย์ อาจจะแสดงความรับผิดชอบ โดยการลาออก และเลิกเล่นการเมืองไปเลย เพราะเนื่องจากทนต่อกระแสกดดันทางสังคมไม่ได้ และไม่อยากให้พรรคต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะตน อีกทั้ง นายอภิสิทธิ์ ยังกำชับให้ครม.ยึดกฎเหล็ก 9 ข้อ เน้นทำงานซื่อสัตย์-สุจริต

สำหรับรายชื่อแคนดิเดตที่พรรคจะวางตัวแทนนายวิฑูรย์คือนายชินวรณ์ บุญเกียรติ์ ประธานวิปรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ก่อนหน้านี้เขาได้บอกไว้ว่าหลังเดินทางกลับมาจากการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอส จะมาดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีที่มีเครื่องหมายคำถามจากสื่อมวลชน กับสังคมอยู่ ตอนนั้นขอเวลา 3 วัน วันนี้ก็เหลืออีก 2 วันขณะนี้ก็ได้รวบรวมข้อมูลไว้ได้พอสมควรแล้ว ทั้งในส่วนของรัฐมนตรีบุญจง (วงศ์ไตรรัตน์) และรัฐมนตรีวิฑูรย์ (นามบุตร) จากนั้นจะมีความชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการชี้ขาดเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็จะเรียนให้ทราบเลยว่าเขาได้ดูข้อมูลแล้ว คิดว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นความเหมาะสม ยืนยันว่าเขาไม่ได้ละเลยต่อความห่วงใยของสังคมที่มีต่อรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และจะได้พิจารณา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเขาจะรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตัวเอง
ต่อข้อถามว่ายังจำเป็นต้องรอผลจากคณะกรรมการอิสระแต่ละชุด ที่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะให้คำตอบว่าขณะนี้มีการตรวจสอบทั้ง 2 กรณีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต้องอยู่ที่ว่าขณะนี้ในส่วนของฝ่ายบริหารเองจะทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ก็จะแจ้งให้ทราบภายใน 2 วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนายบุญจง นั้น แกนนำของพรรคภูมิใจไทยออกมาบอกว่าจะไม่มีการปรับออก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันเป็นอำนาจและเขาจะเป็นคนพิจารณาเรื่องนี้ และถ้าปรับครม. ก็จะต้องปรับให้เกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้ทำงานแล้วมีแนวทาง และมีมาตรฐานอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากพรรคร่วมไม่ยอมปรับจะตัดสินใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะดำเนินการ ทั้งหมดทำเพื่อต้องการให้รัฐบาลทำงานได้ เพราะถ้ารัฐบาลคิดถึงแต่ตัวเลขก็ไม่ได้ การทำงานจะสำเร็จได้ต้องได้รับการยอมรับความเชื่อถือ ต้องใช้ตรงนี้เข้ามาประกอบไม่เช่นนั้นคงไม่พูดถึงเรื่อง 9 มาตรการในการทำงานกับครม.นัดแรก

ผู้สื่อข่าวถามว่าพูดเช่นนี้เหมือนกับว่าจะมีการปรับ ครม.นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่พูดคือหลักการที่เขาใช้ ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ขอให้รออีก 2 วันแล้วจะเรียนให้ทราบ และสังคมต้องเป็นคนตอบอีกที ส่วนตัวเขามีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณา

ส่วนที่ฝ่ายค้านประกาศว่ามีข้อมูลเด็ดในการอภิปรายรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องรอให้ฝ่ายค้านยื่นและอภิปรายมาก่อนตอนนี้ไม่ทราบ การอภิปรายนายกฯ ก็เป็นสิทธิที่ทำได้ และตัวเขาก็ยอมรับการตรวจสอบ อีกทั้งไม่รู้สึกกังวล เพราะ 1 เดือนที่ผ่านมาได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ และมีความก้าวหน้า โดยที่เปลี่ยนแปลงไปมากก็คือมีระบบการตรวจสอบ เมื่อตัวเขามองข้ามอะไรไปแล้วฝ่ายค้านเสนอข้อมูลมาก็จะได้ดู และชี้แจงว่าที่ทำมามีเหตุผลอะไร

เมื่อถามว่าจริงหรือไม่ที่กระแสภายในพรรคประชาธิปัตย์อยากให้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาฟังทุกๆ ความเห็น

ต่อข้อถามว่านายกฯ พูดถึงความน่าเชื่อถือของรัฐบาล แต่ตอนนี้นายวิฑูรย์ โดนมองว่าไม่น่าจะไว้วางใจได้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธว่า "ถ้าหากจะปรับหรือไม่ปรับ ผมก็ต้องเป็นคนชี้แจงเหตุผลว่าปรับเพราะอะไร หรือไม่ปรับเพราะอะไร และเหตุผลนี้ก็เป็นตัวที่ผมหวังว่าจะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการทำงานของรัฐบาล ไม่ว่าการตัดสินใจจะไปในทิศทางใดก็ตาม ซึ่งทุกทางออกจะมีคำตอบ และผมจะเป็นคนให้คำตอบเอง"

ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาคุยกับหลายๆ ท่านแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบทุกคน
"สุเทพ"รอประชุมพรรควันนี้ชี้ชะตา"วิทูรย์"

ส่วนนายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหากไม่มีหารปรับ ครม.ว่า การปรับ ครม.นั้นเป็นอำนาจของนายกฯ และนายกฯ ได้บอกแล้วว่าขอเวลา 2-3 วัน เพื่อดูข้อมูลหลักฐานทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณีข่าวการปรับนายวิฑูรย์ ออกจากตำแหน่ง รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าข่าวมาจากไหน เพราะยังไม่ได้ประชุมกรรมการบริหารพรรค หรือ ส.ส.ของพรรค ซึ่งจะมีการประชุม ส.ส.ของพรรคในช่วงบ่ายวันอังคารที่ 3 ก.พ.นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การทบทวนตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญของนักการเมือง หากโดนวิจารณ์มากๆ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นทัศนะและเป็นแนวความคิด ซึ่งทุกคนมีสิทธิเสนอแนวความคิด ดังนั้น นายวิฑูรย์ ควรรับฟังแนวความคิดของฝ่ายต่างๆ และประเมินดู

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีที่ชาวพัทลุงได้รับแจกสิ่งของช่วยเหลือน้ำท่วม ซึ่งมีปลากระป๋องเน่า ว่า เขาและส.ส.ในพื้นที่รู้สึกน้อยใจและอับอาย ที่ชาวพัทลุงได้รับบริจากสิ่งของที่ไม่มีคุณภาพ เรื่องนี้ดังกล่าวมีต่อเนื่องมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่จบเสียที ทั้งนี้ เพื่อนส.ส.บางจังหวัดได้ล้อเล่นว่า ถ้าเป็นพวกเขานำปลากระป๋องเน่าไปแจกคงเรียบร้อยไปนานแล้ว แต่ส.ส.พัทลุง กล้าทำ แม้จะแซวเล่นแบบนี้แต่เขาก็น้อยใจ เพราะรู้สึกตลอดเวลาว่าทำไมถึงปกป้องชาวบ้านที่เลือกเราไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องทำเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว

ผมไปแก้รธน.เพราะเห็นว่ามีผลกับชีวิตผมมันคงเกินไป


หมวดข่าว : สัมภาษณ์พิเศษ

โดย : กองบรรณาธิการ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ TheCityJournal ถึงสถานการณ์การเมืองที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่เวลานี้หลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหากไม่มีหารปรับ ครม. และเรื่องปัญหาคุณสมบัติรัฐมนตรี

รัฐบาลจะปรับครม.ตามที่คนเสื้อแดงเรีกยร้องไหม

การปรับ ครม.นั้นเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ ได้บอกแล้วว่าขอเวลา 2-3 วัน เพื่อดูข้อมูลหลักฐานทั้งหมด ซึ่งคงต้องให้เวลานายกฯ ด้วย เพราะตอนนี้มีงานมากเหลือเกิน

การปรับครม.หากปรับไม่ดี อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

คงไม่เป็นปัญหา ต้องรอให้นายกฯ ได้ดูรายละเอียดทุกอย่างก่อนที่จะมีคำวินิจฉัย

จะปรับนายวิฑูรย์ นามบุตร ออกจากตำแหน่ง รมว.การกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไหมเพราะในพรรคก็เรียกร้องเหมือนกับที่นอกพรรคเรียกร้อง

ไม่ทราบว่าข่าวมาจากไหน เพราะยังไม่ได้ประชุมกรรมการบริหารพรรค หรือ ส.ส.ของพรรค ซึ่งจะมีการประชุม ส.ส.ของพรรคในช่วงบ่ายวันอังคารที่ 3 ก.พ.นี้

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การทบทวนตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญของนักการเมือง หากชี้แจงแล้วยังโดนวิจารณ์มากๆ

เป็นทัศนะและเป็นแนวความคิด ซึ่งทุกคนมีสิทธิเสนอแนวความคิด ดังนั้น นายวิฑูรย์ ควรรับฟังแนวความคิดของฝ่ายต่างๆและประเมินดู

ปัญหาของนายวิฑูรย์ถือเป็นปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ในรัฐบาลหรือไม่

ไม่ถึงขนาดกับว่าจะเป็นปัญหาในพรรค หรือ เป็นปัญหาของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข

พรรคภูมิใจไทยพยายามกดดันเพื่อไม่ให้มีการปรับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยออกจากตำแหน่ง แต่ถ้านายวิฑูรย์ แสดงสปิริตลาออกแล้วนายบุญจง ยังนิ่งเฉยจะกลายเป็นสองมาตรฐานหรือเปล่า

อย่าคิดไปเร็วขนาดนั้น เพราะยังไม่มีกรณีที่นายวิฑูรย์ ตัดสินใจทำอะไร หรือกรณีนายกฯ ตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับนายวิฑูรย์ ดังนั้นจะบอกว่ากรณีของนายวิฑูรย์ จะไปกดดันกรณีของนายบุญจง คงไม่ใช่ และยังไม่มีเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยมากดดันรัฐบาลเกี่ยวกับกรณีนายบุญจงแต่อย่างใด

จะเป็นการสวนทางกับที่นายกฯที่ไปยืนยันกับต่างชาติว่าสถานการณ์ประเทศไทยกำลังไปด้วยดี แต่ภายในรัฐบาลกำลังวุ่นวาย

ความจริงภายในรัฐบาลไม่มีอะไรวุ่นวาย เพียงแต่มีปัญหาที่เกิดประเด็นและเป็นที่สนใจของฝ่ายต่างๆ ซึ่งเราต้องสะสางเท่านั้นเอง

การแจกปลากระป๋องเน่า ทำไมจึงไม่มีการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

เป็นช่วงเวลาที่ได้ขอให้นายวิฑูรย์ไปรวบรวมหลักฐาน เอกสาร ข้อเท็จจริงต่างๆมาเสนอ เพื่อให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัย ถือว่าไม่ล่าช้าเท่าไรนัก ภายใน 2-3 วันนี้ก็จะชัดเจน

แล้วในกรณ๊รัฐมนตรีสายล่อฟ้าตัวจริงนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ที่กลุ่มเสื้อแดงวิจารณ์ว่ามีประวัติมัวหมองไม่สมควรเป็นรัฐมนตรี

คำว่าประวัติมัวหมอง สำหรับคนที่จะเป็นรัฐมนตรีนั้นหมายถึงความมัวหมองในการปฏิบัติราชการ ส่วนกรณีของนายกษิต ไม่มีอะไรที่เป็นความมัวหมองในการปฏิบัติราชการ หรือ การทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม

นายกษิต ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรและขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของฝ่ายเสื้อแดง

ไม่ว่าจะขึ้นเวทีไหนก็แล้วแต่จะเป็นการพูดจากันไปตามความเชื่อ ตามความคิดของแต่ละคน พวกผมก่อนที่จะมาเป็น ส.ส. ก็ขึ้นเวทีปราศรัยกันมามากมาย เป็นเรื่องปกติ

รัฐบาลไม่แคร์เรื่องนี้

รัฐบาลไม่ได้เอามาเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณา

แล้วกรณีที่กกต.ชี้มูลความผิดอาญานายสุเทพ กรณีไปช่วยน้องชายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี

ผมยืนยันว่าผมไม่ได้มีเรื่องเพราะไปช่วยหาเสียง เพราะผมไม่ได้ไปช่วยหาเสียง แต่ผมไปงานสงกรานต์ ไปทำบุญ ตักบาตร รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ตามประเพณี และหากเห็นว่าการที่ผมไปทำอย่างนั้นมีผลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นเขาจึงให้ใบเหลืองนายกฯอบจ. ซึ่งต้องไปพิสูจน์กันที่ศาลว่าการที่ผมไปทำกิจกรรมตามประเพณีนั้นเป็นเรื่องที่เข้าข่ายกฎหมายกำหนด หรือไม่

แต่ผมมองว่ากฎหมายกำหนดเอาไว้ว่า ห้ามมิให้กระทำการใดที่ผิดกฎหมาย อาทิเช่น ซื้อเสียง แจกเงิน หรือกระทำทุจริต แต่ตนไม่ได้กระทำใดที่ทุจริตแต่อย่างใด

ตอนนี้รู้สึกไหมว่ามีความพยายามเอาผิดคนในรัฐบาลด้วยกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 266 เป็นเรื่องผิดปกติหรือมีกระบวนการใดหรือไม่

ผมไม่มองอะไรมาก เป็นคนไม่คิดมาก หากมีกรณีคงต้องพิสูจน์กันเพราะเรามีกระบวนการยุติธรรม เราต้องเชื่อในกระบวนการยุติธรรม

น่าสงสัยหรือไม่ว่าทำไมจึงเป็น อบจ.สุราษฎร์ฯ มีการตั้งข้อสังเกตโดยคนใน กกต.จะมีการสอบถามเรื่องดังกล่าวหรือไม่

ไม่สอบถาม ไม่คุย หน้าที่ของ กกต.ท่านก็ทำหน้าที่ไป หากคิดว่าทำถูกต้องเหมาะสมแล้วก็ทำไป

คิดว่าจะตายน้ำตื้นหรือไม่

หากศาลวินิจฉัยว่าผมผิดผมก็ต้องรับผิด

คิดว่าจะเชื่อมโยงถึงการยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่

กรณีนี้ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการโยงไปถึงการยุบพรรคได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้อย่างนั้น แต่กฎหมายบัญญัติเฉพาะกรณีการเลือกตั้งส.ส.

หากเห็นว่ามาตรา 266 มีปัญหาจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่

ผมยังไม่มีความเห็น ผมจะไปแก้รัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่ากฎหมายมีผลกับชีวิตผมมันคงเกินไป ต้องว่ากันไปตามมาตรฐานทั่วไป ซึ่งมีกรรมการพิจารณาอยู่ว่าข้อไหนดี ไม่ดี

กรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องและให้ปฏิบัติภายใน 15 วัน รัฐบาลจะพิจารณาอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้

ยังไม่ได้หารือกันในภาพรวม แต่ผมเห็นว่าบางเรื่อง อย่างกรณีดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายนั้นดำเนินการอยู่แล้ว แต่เรื่องอื่นๆ คงทำไม่ได้ เรื่องยุบสภานั้นก็ไม่มีทาง เพราะกำลังแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอยู่แล้วจะไปทำให้สะดุดหยุดลงทำไม แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้ประมาท

วันนี้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นป.ป.ช.ตรวจสอบกรณี 3 รัฐมนตรีที่ลงมติรับร่างพ.ร.บ.งบประมาณขัดกฎหมาย กังวลเรื่องนี้ไหม

นายเรืองไกร ก็ทำหน้าที่ของเขา ส่วนผู้มีหน้าที่ตีความ ตรวจสอบ วินิจฉัยก็ดำเนินการไป เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐาน ผมเข้าใจว่ารัฐบาลมีข้อมูลข้อเท็จจริงที่จะไปชี้แจง

อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญห้ามไว้ว่าคนที่เป็นรัฐมนตรี และ ส.ส.ในขณะเดียวกันจะไปยกมือในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง อาทิเช่น กรณีโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างนั้นรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้ทำ แต่การที่รัฐมนตรีทั้ง 3 คน ลงมตินั้นเป็นเรื่องของงบประมาณแผ่นดินที่จะนำมาช่วยประชาชน ไม่ได้มาช่วยรัฐมนตรี และความจริงงบฯที่ผ่านนั้นไม่ได้เกี่ยวกับกระทรวงของรัฐมนตรีที่ลงคะแนนเสียด้วยซ้ำไป ผมไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา แต่ขออภัยหากความเห็นของตนจะไปล่วงล้ำหน้าที่ของผู้มีสิทธิตีความ

ปชป.ตำหนิพท.เปิดประตูให้ต่างชาติแทรกแซงไทย


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : รัฐสภา

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงอัดแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดโอกาสให้องค์กรต่างชาติแทรกแซงการเมืองไทย โว รัฐบาลขับเคลื่อนฝ่าวิกฤติประเทศเองได้

วันนี้ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.30 น. น.พ.บุรณัชย์ สมุทรรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาตำหนิคำให้สัมภาษณ์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ สื่อต่างชาติที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิสเซอรแลนด์ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นบุคคลที่ตระหนักถึงภาพลักษณ์ของประเทศ และระมัดระวังต่อการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ เกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศไทย

ส่วนคำให้สัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น เป็นเพียงการตอบคำถามต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสื่อบางส่วนที่ตั้งประเด็นเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาล

น.พ.บุรณัชย์ กล่าวด้วยว่า อยากให้แกนนำพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทบทวนและยุติการเคลื่อนไหว เพราะหลังจากที่ได้ทำหนังสือถึงศาลโลก สหประชาชาติ สหพันธ์รัฐสภาระหว่างประเทศ รวมไปถึงกรณีที่นาย จักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ที่ทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตอาเซียน 9 ประเทศ ซึ่งเป็นคำถามที่สื่อต่างชาติมี และถือเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงต่อองค์กรนอกประเทศ ในการเปิดโอกาสให้องค์กรเหล่านั้นเข้ามาแทรกแซงการเมืองของไทย

"ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากการดำเนินการของพรรคเพื่อไทย และ นปช. เอง หากพรรคเพื่อไทยมีข้อสงสัยในเรื่องของความชอบธรรมในเรื่องรัฐสภา หรือรัฐบาล ช่องทางขององค์กรอิสระภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง หรือ ศาลรัฐธรรมนูญก็เปิดช่องให้อยู่แล้ว"

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลไทยจะกอบกู้ความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก ส่วนหนึ่งคือสร้างความเชื่อมั่นจากต่างชาติ ซึ่งการชุมนุมของ นปช. แม้ที่ผ่านมาจะชุมนุมอย่างสงบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการตั้งใจชุมนุมในวันที่นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมอยู่กับผู้นำในเวทีโลก ทำให้การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่างชาติ ต้องเสนอข่าวการชุมนุมในไทยไปด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามตนเห็นว่า บทบาทของพรรคเพื่อไทย ในการช่วยคลี่คลายวิกฤตทางการเมือง เพราะเงื่อนไขของกลุ่ม นปช. ที่เสนอ 4 ข้อ เป็นการเสนอคำขาด แต่พรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นแนวทางการหารือและเจรจา ซึ่งพรรคหวังว่า ช่วง 15 วัน ที่ นปช. ขีดเส้นตายให้รัฐบาลนั้น จะเป็นโอกาสที่การเจรจาหารือเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทราบมาว่า รัฐบาลได้พยายามที่จะร้องขอให้กลุ่มเสื้อแดงส่งแกนนำมาเจรจา แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด เช่นเดียวกับที่วิปฝ่ายค้านก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ อยากให้แกนนำพรรคเพื่อไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงให้ช่วยเปิดทางให้มีการพูดคุยถึงข้อห่วงในต่างๆ กับรัฐบาล เพราะมิเช่นนั้นจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย หากมีการชุมนุมในช่วงประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้

น.พ.บุรณัชย์ กล่าวถึงข้อสงสัยที่ประชาชนมีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีหลายคน ขอยืนยันว่าประชาธิปัตย์ตระหนักดีถึงความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ว่า จะสามารถขับเคลื่อนฟันฝ่าวิกฤตและทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะที่ท้าทายมาหลายปี ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวพรรคยืนยันว่า ภายใน 2-3 วันนี้ สิ่งที่เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงที่พรรคได้รับจากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกคน พรรคพร้อมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบอย่างโปร่งใส ปราศจากการปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งข้อสงสัยจากประชาชนมี 2 ส่วนคือ ทำให้ผลประโยชน์ของส่วนรวมเสียไปหรือไม่ และคนบางคนได้รับประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้จะมีการหารือหลังจากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลจะพูดคุยกัน

“ ผมได้คุยกับรัฐมนตรีวิฑูรย์ (นามบุตร รมว.พัฒนาสังคมฯ) ว่าเวลาที่ผ่านมานั้น ท่านได้สืบค้นข้อมูลทั้งหมด ซึ่งหลายส่วน ผมยังไม่ได้รับทราบโดยการประชุม ส.ส. พรรควันพรุ่งนี้ ( 3 ก.พ. 52) ผมคิดว่าความกระจ่างชัดในเรื่องของข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆ คงจะครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอให้ประชาชนรับทราบ โดยรัฐบาลจะได้ดำเนินการต่อไปโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนเป็นสำคัญทั้งนี้ท่านวิฑูรย์ ได้บอกกับผมว่า ที่ผ่านมาได้ให้คณะกรรมการทั้ง 7 ชุด ทำงานอย่างอิสระ และข้อมูลทั้งหมดจะรวบรวม นำเสนอโดยไม่แทรกแซงการทำงาน ดังนั้นในส่วนนี้ผมจึงอยากให้สังคมรอฟังข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสับสนต่างๆ เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ ” น.พ.บุรณัชย์ กล่าว

"วิชา"ชี้3รัฐมนตรีไม่ผิดกฎหมายป.ป.ช.


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : รัฐสภา

"วิชา" ระบุ 3 รัฐมนตรีโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบกลางปี 2552 อาจไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. เพียงแต่ผิดมารยาท คาด ป.ป.ช.พิจารณาเบื้องต้น 5 ก.พ.

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นให้ป.ป.ช. สอบ 3 รมต. ว่า เมื่อยื่นเรื่องมาที่ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. หรือไม่ หากมีอำนาจก็จะดำเนินการไปตามกระบวนการ

ทั้งนี้ส่วนตัวเขามองว่า ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีอำนาจเป็นผู้วินิจฉัยเรื่องนี้ได้ดีที่สุด โดยนักการเมืองที่มีส่วนได้ส่วนเสียควรเป็นผู้ดำเนินการยื่นเรื่องเอง

"กรณีดังกล่าวไม่ได้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 ถึงผลที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวว่า จะมีผลอย่างไรและมีบทลงโทษอย่างไร นอกจากนี้กฎหมายของ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้ระบุบทลงโทษกรณีดังกล่าวไว้ด้วยว่า จะต้องลงโทษอย่างไร สำหรับการนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเบื้องต้นคาดว่า ในการประชุม ป.ป.ช.วันที่ 5 ก.พ. น่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาหารือ"

นายวิชา กล่าวว่า ป.ป.ช.คงดูว่า อยู่ในข่ายอำนาจหรือไม่ และคงมองที่ประเด็นการเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ต้องดู 2-3 เรื่องคือ ถ้ากฎหมายต้องการเอาผิดจะเขียนไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบฯว่าด้วยป.ป.ช.มาตรา 100-103 ถ้าไม่ใช่เรื่องผิดทางอาญาก็จะเป็นเรื่องผิดจริยธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การตำหนิ การถูกถอดถอน กระบวนการที่ ป.ป.ช.จะพิจารณาคงต้องดูรายละเอียดตรงนี้ว่า เป็นเรื่องทางจริยธรรมหรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคดีอาญา ต้องไม่ลืมว่าอำนาจของป.ปช.จะพิจารณาได้ต้องเป็นเรื่องความผิดทางอาญาเนื่องในการกระทำผิดหรือประพฤติมิชอบ

"ผมมองว่า กรณีนี้ยังไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญา แต่โดยมารยาทอาจจะผิดมารยาท อีกทั้งรัฐธรรมนูญเขียนไว้เฉพาะในมาตรา 177 แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องพ้นตำแหน่งหรือมีความผิดอย่าง"

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อธิการหอการค้าชี้นศ.ขายตัวผ่านเว็บแค่เพิ่มค่าตัว

หมวดข่าว : สังคม
โดยทีมข่าว : สังคม
อธิการหอการค้า ในฐานะนายกสมาคมสถาบันอุดมเอกชนไทย เผยตรวจสอบเว็บนศ.ขายตัวแล้ว ไม่ใช่นศ.แต่แฝงขายตัว หวังเพิ่มต่าตัว ส่วนรมช.ศึกษา สั่งม.รัฐ-เอกชน-อาชีวะ คุมเข้มนักศึกษาขายตัวผ่านเวบฯ เร่งปลูกฝังให้มีจิตสาธารณะ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เล็งชงเข้าหารือกับกกอ.
รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และนายกสมาคมสถาบันอุดมเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)เปิดเผยว่าได้รับการร้องเรียนจากคนไทยในต่างประเทศว่ามีนักศึกษาไทยขายบริการทางเพศผ่านเวบไซต์และไฮไฟว์เป็นจำนวนมาก ว่า เมื่อทราบปัญหาดังกล่าวไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาได้ให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีเบอร์โทรศัพท์ ชื่อ ที่อยู่ที่ปรากฎบนเว็บไซต์ ปรากฎว่า ไม่ใช่นักศึกษา กลับเป็นผู้หญิงขายบริการทั่วไป แต่อ้างเป็นนักศึกษา เพราะต้องการเพิ่มค่าตัว
"เมื่อเรานำเอาชื่อ สกุล ไปตรวจสอบตามมหาวิทยาลัยเอกชน ก็ไม่พบว่าเป็นนักศึกษา ทั้งที่ทุกมหาวิทยาลัยจะมีทะเบียนนักศึกษาทุกคนอยู่ หากรายชื่อดังกล่าวเป็นนักศึกษาจริง จะต้องตรวจสอบได้ในทะเบียนนักศึกษา แต่กรณีดังกล่าวไม่พบ ผมจึงมองว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้างใช้ชุดนักศึกษาเพิ่มค่าตัวมากกว่า"
รศ.ดร.จีรเดช กล่าวว่า เราคงไม่ต้องไปนั่งแก้ปัญหานี้ ยิ่งแก้เหมือนยิ่งมีปัญหา ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว อีกอย่างเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ใช่นักศึกษาของเรา ไม่จำเป็นต้องไปนั่งแก้ นั่งแถลง
อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้แอบอ้างเช่นนี้เพราะไม่มีรายได้ บวกกับพิษเศรษฐกิจตกต่ำ จึงพยายามหาทางที่จะหาเงินได้ง่าย และมากๆ จึงมาแอบอ้างเป็นนักศึกษา เรามหาวิทยาลัยเอกชนถูกกล่าวหาเรื่องนี้มาตลอด ทั้งที่ความจริงแล้ว เด็กที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน ถือว่าพ่อแม่มีเงิน ฐานะปานกลาง คงไม่จำเป็นต้องไปขายบริการ อีกทั้ง เมื่อทุกคนมีเงิน แล้วใช้ของฟุ้งเฟ้อแล้ว ก็ไม่จำเป็ต้องเอาตัวเข้าแลก เพราะต่างมีเงินจับจ่ายหาซื้อของมาใช้อยู่แล้ว ข้อเท็จจริงมันไปด้วยกันไม่ได้ เพราะไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัยเอกชน" รศ.ดร.จีรเดช กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.)กล่าวว่า ก่อนมีข่าวออกมาได้แจ้งไปยังสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชน และสถาบันอาชีวศึกษาผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ขอให้ช่วยกวดขันดูแลนักศึกษาไม่ให้มีการขายบริการทางเพศ ซึ่งคิดว่าปัญหามีสาเหตุจากนักศึกษามีค่านิยมที่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ตามกระแสวัตถุนิยมและปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ
"กรณีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำนั้นทุกฝ่ายต่างเจอปัญหานี้ทั้งนั้น ดังนั้น นักศึกษาจึงต้องรู้จักหาทางออกที่เหมาะสม และศธ.มีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)ให้นักเรียน นักศึกษากู้ยืมเรียนอยู่แล้ว ปีนี้ได้เสนอรัฐบาลให้ขยายฐานผู้กู้ กยศ.โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 2-4 ที่กู้กองทุนกยศ.ไม่ได้ในช่วงเรียนปีที่ 1 สามารถกู้ได้และใช้งบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาทซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว"
ส่วนปัญหานักศึกษามีค่านิยมฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยนั้น ศธ.คงแก้ปัญหาโดยลำพังไม่ได้ แต่จะต้องร่วมมือกับทุกฝ่ายเช่น กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ช่วยกันปลูกฝังให้นักศึกษามีความรับผิดชอบมากขึ้น มีจิตสาธารณะและดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ดังนั้น จะนำปัญหานี้ไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)ด้วย

“บัญญัติ”ชี้“วิฑูรย์”ทบทวนตัวเอง

หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล
“บัญญัติ”แนะ“วิฑูรย์”หากแจงปลากระป๋องเน่าแล้วสังคมไม่เชื่อ ควรทบทวนตัวเอง ชี้ เสียงวิจารณ์จะเป็นตัวชี้วัด พรรคการเมือง-นักการเมืองไม่ควรละเลย และรัฐบาลรู้ดีว่าต้องระวังไม่ให้มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ประธานพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำลังประสบปัญหาโครงการแจกถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย จ.พัทลุง แล้วมีปลากระป๋องเน่า ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและรัฐมนตรีต้องจัดการปัญหาเหล่านี้ให้คลี่คลายลงให้ได้ ถ้าสร้างความเข้าใจไม่ได้ก็ต้องพิจารณาว่าหลังจากรัฐมนตรีชี้แจงแล้ว เสียงสะท้อนของสังคมเป็นอย่างไร ตรงนี้คือภารกิจของการเมืองยุคนี้ ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารรวดเร็วมาก และประชาชนก็พร้อมที่จะแสดงออกว่าชอบหรือไม่ชอบ เสียงสะท้อนนั้นจะปรากฎจากการวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นตัวชี้วัด ทำให้พรรคการเมืองและนักการเมืองละเลยไม่ได้
ต่อข้อถามว่า จนถึงวันนี้จับเสียงสะท้อนของประชาชนได้หรือยังว่าประชาชนจะเอาอย่างไร กรรมการสภาที่ประธานพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทัศนคติของประชาชน ที่มีต่อนักการเมืองเรื่องคร์อรัปชันค่อนข้างที่จะรุนแรง ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลก็ตระหนักในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในกฎ 9 ข้อที่นายกฯพูดเอาไว้กับครม.
"ผมจำได้ว่าในข้อที่ 2 ชัดเจนในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และอีกข้อคือความรับผิดชอบของนักการเมืองที่ต้องรับผิดชอบมากว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วยซ้ำไป นายกฯต้องดูปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับมาด้วย"
นายบัญญัติ กล่าวว่า ที่น่ายินดีที่สุดคือนายวิฑูรย์ บอกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องรักษามาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องความซื้อสัตย์สุจริตไว้ และจะไม่ให้เรื่องราวของตัวเองเป็นภาระกับรัฐบาล และให้นายกฯมีโอกาสแก้ไขปัญหาไปได้ คิดว่าถ้าชี้แจงแล้วคนยังไม่เชื่อ ไม่ว่าตัวเองจะผิดหรือไม่ผิด ก็ต้องกลับมาคิดกันแล้วว่าควรจะช่วยกันรักษาระดับความเชื่อมั่นที่จะต้องมีในรัฐบาลโดยรวมอย่างไร โดยวัฒนธรรมประเพณีของพรรคเมื่อไหร่ก็ตามหากประชาชนไม่สบายใจก็ต้องพึงทบทวนต่อสิ่งเหล่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอย่างไรต่อกรณีนี้ นายบัญญัติ กล่าวว่า มาตรฐานของพรรคพูดได้ว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นหัวใจของอุดมการณ์ในการทำงานการเมือง วันนี้นายวิฑูรย์ พูดว่าถ้าผิดจริงก็ไม่ต้องเป็นห่วง นายกฯ ก็บอกว่ากลับมาจากต่างประเทศแล้วจะดู รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้อย่างแรกก็คือผลงานของรัฐบาล และตนเคยบอกกฎ 5 ข้อที่บอกว่าไม่ และเอาไว้ให้รัฐบาลทำ คือ ไม่แบ่งแยก ไม่พูดจาท้าทาย ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีคำมั่นสัญญา และไม่ทุจริต คอร์รัปชัน อย่าให้ประชาชนระแวงแคลงใจเรื่องนี้เด็ดขาด เพราะประชาชนรับไม่ได้กับการทุจริต
ต่อข้อถามว่า เท่าที่ฟังหาเสียงของท่านเหมือนกับว่ารัฐมนตรีที่โดนกล่าวหาควรจะต้องแสดงสปิริต กรรมการสภาที่ประธานพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่ที่ตัวรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่คงละเลยปัญหานี้ไปไม่ได้ รัฐบาลต้องรักษาระดับความเชื่อมั่นต่อประชาชนสูงมากใน 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องเศรษฐกิจและ 2.ความเชื่อมั่น ว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เข้ามาหาเศษหาเลย วิกฤติการเมืองทำให้คนขาดความเชื่อมั่นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา จนทำให้เกิดการคดโกงทางการเมืองนั้น ณ วันนี้รัฐบาลนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะไม่มีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และเชื่อว่านายกฯ ตระหนักเรื่องนี้อยู่แล้ว เราต้องยอมรับว่าถ้าพูดเรื่องคอรัปชันประชาชนก็เชื่อไว้ก่อนแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เดาใจนายกฯออกหรือไม่ว่าจะเอาอย่างไรกับกรณีนี้ นายบัญญัติ กล่าวว่า นายกฯ คงคิดเหมือนที่เขาพูดเอาไว้ว่า รัฐบาลที่เข้ามาภายใต้วิกฤติเช่นนี้ รัฐบาลต้องรักษาระดับความเชื่อมั่นของประชาชนเอาไว้ เพราะความเชื่อมั่น ความเชื่อถือ ความไว้วางใจมันเป็นปัจจัยข้อแรกในการทำงาน ถ้าคนไม่เชื่อมั่น ทำอะไรก็ยาก นายกฯคงต้องคิดอ่านเพื่อรักษาความเชื่อถือเอาไว้ให้ได้

กกต.ชี้อาญา"สุเทพ"โยงยุบปชป.ไม่ได้

หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : รัฐสภา
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งชี้การดำเนินคดีอาญา "สุเทพ" โยงไปสู่การดำเนินคดีเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ชี้เป็นความผิดส่วนบุคคล
มติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่สั่งให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดกรณีนายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพราะไปแจกทุนการศึกษาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยหนึ่งในนั้น คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ได้ส่งให้ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยชี้ขาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทั้งนี้ หากศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่าชอบกับกกต. ผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
ผลของคดีนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่านายสุเทพ เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ระบุว่า หากกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตเลือกตั้ง จะต้องยุบพรรค แต่ในพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ไม่ได้กำหนดโทษยุบพรรคการเมืองเอาไว้ด้วย
แหล่งข่าวจากสำนักงานกกต. เปิดเผยว่า กรณีของนายสุเทพ นั้นเป็นความผิดส่วนบุคคล ไม่สามารถนำไปโยงเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่านายสุเทพ จะเป็นกรรมการบริหารพรรคก็ตาม คงมีโทษทางอาญาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีความพยายามที่จะโยงว่า การแจกสิ่งของมีสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นความผิดของพรรคด้วย นั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าพรรคมีส่วนรู้เห็นว่าเป็นผู้สั่งให้กระทำและแจกสิ่งของนั้น ๆ จึงยากที่จะสาวไปให้เป็นความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์
รายงานข่าวจากกกต. แจ้งว่า กรณีกกต.มีมติให้มีการเลือกตั้งนายกอบจ.สุราษฎร์ธานี ใหม่ และสั่งให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมแจกทุนการศึกษา ประกอบด้วย นายสุเทพ นายชุมพล กาญจนะ ส.ส. สุราษฎร์ และนายประพนธ์ นิลวัชรมณี หัวคะแนน โดยขณะนี้กรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการเขียนสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย หากศาลไม่เห็นด้วยกับมติของกกต. นายสุเทพ ก็ถือว่าไม่มีความผิด
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าศาลอาจจะสั่งยกฟ้องเนื่องจากในสำนวนที่กกต.สั่งเลือกตั้งใหม่ และให้ดำเนินคดีอาญาและเตรียมส่งฟ้องศาลนั้นปรากฏว่าไม่ได้เรียกนายสุเทพ มาสอบสวนทั้งในชั้นกกต.จังหวัด และกกต.กลาง ซึ่งมีผลทำให้สำนวนอ่อนลง และเชื่อว่านายสุเทพ จะยกประเด็นนี้ขึ้นมาต่อสู้ในชั้นศาลด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลยกคำร้องกกต.ไม่สามารถนำคำร้องกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอายุความเกิน 1 ปีแล้ว ทั้งนี้ กกต.ก็อาจมีความเสี่ยงผิดตามพ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 29 ห้ามมิให้กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และอนุกรรมการ กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการ โดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือการออกเสียงประชามติ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี