วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ผบ.ตร.ขึงขังขู่"เสื้อแดง"ผิดกฎหมายจับทันที


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

"ผบ.ตร.-แม่ทัพภาค 1" ถกรับมือ "เสื้อแดง" ชุมนุมใหญ่-บุกล้อม คาดมีผู้ร่วมชุมนุม 2 หมื่นคน "พัชรวาท" กร้าวไม่ยอมให้ม็อบยึดทำเนียบฯ เด็ดขาด ระดมตร.นับหมื่นนายรับมือ เล็งขอกำลังทหารเสริม

การประกาศชุมนุมใหญ่ของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ท้องสนามหลวง ในวันพรุ่งนี้ (31 ม.ค.) ภายใต้ชื่อภารกิจ "แดงทั้งแผ่นดิน" ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น. และในเวลา 21.00 น. จะมีการเคลื่อนขบวนไปล้อมทำเนียบรัฐบาล ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องประชุมเตรียมพร้อมเพื่อรับมือ
โดยบ่ายวันนี้ (30 ม.ค.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้าร่วมรับฟังการประชุมซักซ้อมทำความเข้าใจแผนปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยของตำรวจนครบาลในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. พร้อมประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด โดยเชิญ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และ ปลัด กทม. เข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังการประชุมว่า ประเมินสถานการณ์ร่วมกับกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือผู้ชุมนุมเคลื่อนไหว โดยเน้นย้ำผู้ปฏิบัติให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด หากพบผู้ชุมนุมการกระทำผิดกฎหมาย มีการเตรียมพร้อมพนักงานสอบสวนไว้ดำเนินคดีแล้ว และหากกำลังตำรวจไม่เพียงพอจะประสานขอกำลังเสริมจากทหารมา เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานด้วย ซึ่งหากมีการบุกรุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลคงไม่ยอมแน่นอน
ด้านพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า การชุมนุมหรือเคลื่อนขบวนสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และปราศจากอาวุธ พร้อมยืนยันว่า ตำรวจจะไม่ใช้ความรุนแรง หรือแก๊สน้ำตา แต่จะมีเพียงโล่เป็นอาวุธป้องกันเท่านั้น
ส่วนแผนปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อย ตำรวจนครบาลจะใช้แผนปฏิบัติเดิม คือ" แผนกรกฏ48" ใช้กำลังประมาณ 35 กองร้อยจำนวน 5,250 นายต่อ 1 ผลัด ผลัดละ 12 ชม. ระดมมาจาก บช.น. บช.ภ.1,2,7 บช.ก.และ ตชด.โดยมีการขอกำลังทหารมาช่วยอีก 22 กองร้อยมาช่วยดูแลความสงบ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากทาง กทม.เป็นอย่างดี ทั้ง รถน้ำ รถดับเพลิง และรถไฟส่องสว่าง
"จะใช้การเจรจาเป็นหลัก โดยมีจุดเจรจา 4 จุดคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานผ่านฟ้า แยกจปร. และสะพานมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งได้มอบหมายให้รอง ผบช.น.และ รองผบก.ต่างๆ คุมกำลังตามจุดที่กำหนด และจาการคาดการคิดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะมีประมาณ 20,000 " พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว

"เทพเทือก"ส่งสัญญาณปรับครม.


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐษนะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาของนายวิฑูรย์ นามบุตร ที่ฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องปลากระป๋องเน่า ว่า วันที่ 1 ก.พ.นี้คงไม่มีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จากที่ได้ฟังนายวิฑูรย์ ชี้แจงในสภาฯ เขาไม่เห็นหลักฐานที่เขานำมาแสดงเพราะอยู่ไกลกัน จึงไม่ได้อ่าน แต่เห็นว่าชี้แจงได้แข็งแรงดี

"ผมจะรอว่านายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากเมืองดาวอส (1 ก.พ.) แล้วก็จะหารือกันก่อนว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ปล่อยเอาไว้คาใจประชาชนไม่ได้ ต้องสะสางให้ชัดเจน"

ส่วนกรณีของนายบุญจง นั้น เมื่อมีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. และ กกต.ตรวจสอบ คิดว่าทั้งสององค์กรนี้เป็นองค์กรกลางที่เป็นอิสระดีที่สุด

ทีมงานเลขาฯ ปชป.รุดถก"สุเทพ"
ท่ามกลางกระแสปรับครม. วันนี้ (30) ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 14.00 น. ทีมงานสำนักเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาทิเช่น นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม รองเลขาธิการพรรค นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรูพ่าย รองเลขาธิการพรรค นายเทพไท เสนพงศ์ นางนวลพันธุ์ ล่ำซำ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน ได้เดินทางเข้าพบและหารือกับนายสุเทพ ที่ห้องทำงาน ตึกบัญชาการ โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง
ส่วนนายเทพไท กล่าวถึงความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน ส.ส.สัดส่วน เข้ามารับตำแหน่งรมว.พม. นายเทพไท กล่าวว่า ก็เป็นคนหนึ่ง เพราะนายไกรศักดิ์ เคยเป็นรัฐมนตรีเงาพม.มาก่อน
ด้านนายอิสสระ สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าเป็นหนึ่งในว่าที่รัฐมนตรีแทนนายวิฑูรย์ ว่า อย่าเพิ่งพูดไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมานายวิฑูรย์ เองก็สามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้ดี ขอให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคที่จะพิจารณาน่าจะดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวนอกจากนายอิสสระ แล้ว ยังมีชื่อนายศุภชัย ศรีหล้า ที่จะมีคั่วตำแหน่งรัฐมนตรีพม.ในครั้งนี้ด้วย

"ภูมิใจไทย"ตีกันนายกฯปรับครม.

ส่วนนายศุภชัย โพธิ์สุ สส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงภายหลังการประชุมส.ส.ของพรรคว่า นายบุญจง ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการไปแจกเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ พร้อมนามบัตร และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ร่วมชี้แจงด้วย ขณะที่การปรับครม. นายกฯ ไม่ได้บอกว่าจะปรับครม. จึงไม่วิตกว่านายกฯ จะปรับแบบสายฟ้าแลบ เพราะเป็นแค่ข้อกล่าวหา นายบุญจง พร้อมให้ตรวจสอบ

ประธานวุฒิชี้รมต.ลงมติงบไม่ขัด177


หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : รัฐสภา/ทำเนียบรัฐบาล

ประธานวุฒิสภา ชี้รัฐมนตรีลงมติผ่านงบกลางปีไม่น่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่หากเพื่อไทยติดใจยินดียื่นป.ป.ช.-ศาลรธน.ชี้ขาด เผยคำวินิจฉัยศาลรธน.เคยยกคำร้อง 30 ส.ว.กรณีครม."สมชาย" มีเอี่ยวงบ 45,000 ล้าน เลขานุการกมธ.ยกร่างฯ ชี้ฝ่ายค้านคิดเลยเถิด ด้านเพื่อไทย บี้ 3 รมต.โหวตรับงบเพิ่มเติมให้ลาออก พ่วงไล่รมต.ปลากระป๋อง-รมต.ผ้าห่ม ให้เวลาถึงวันจันทร์ หากไม่ออก จะยื่นศาลรธน.จัดการ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.ฝ่ายค้าน เตรียมที่จะเข้าชื่อ 1 ใน 4 เพื่อยื่นถอดถอน 3 รัฐมนตรีที่ลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 เพราะทำขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรคสอง เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.ลงมติในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย ว่า เขาเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกัน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันโดยตรง
ประธานวุฒิสภา บอกว่า สมมติว่ามีคนเอาหนังสติ๊กไปยิงไก่ แล้วเกิดไก่วิ่งไปชนหม้อแกงหก จนทำให้ไม่สามารถกินได้ แล้วอย่างนี้จะไปโทษคนยิงไก่ได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรหาก ส.ส.ยื่นเรื่องมาก็ต้องตรวจสอบรายชื่อ รวมถึงข้อหา ก่อนจะส่งไปให้ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะนักกฎหมายตีความคำว่า มีส่วนได้เสีย อย่างไร นายประสพสุข กล่าวว่า ความหมายคืองบประมาณที่ลงไปอยู่ในโครงการแล้วส.ส.มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่ถ้าเป็นงบประมาณโดยรวมแสนกว่าล้านบาทแล้วนำไปใช้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างนี้ ก็ต้องดูว่าโดยตรงหรือไม่
บรรทัดฐานศาลรธน.กรณีมีส่วนได้เสีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้าที่ ส.ว.30 คน นำโดยน.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้เข้าชื่อกันและยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า มีการแปรงบประมาณเพิ่ม 45,000 ล้านบาท โดยครม. เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจาก ครม.ที่มีสถานะเป็นส.ส.ด้วย ซึ่งมีข้อห้ามแปรญัตติงบประมาณ มาตรา 168 วรรค 6
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยว่า การที่ครม.มีมติให้เสนอเพิ่มงบประมาณ (45,000 ล้านบาท) ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นการกระทำในฐานะฝ่ายบริหาร มิได้กระทำในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรค 6
กมธ.ยกร่างฯรธน.2550ชี้ไม่ขัดรธน.
ด้านนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า มาตรา 177 มีเจตนารมณ์ให้มุ่งตีความโดยแคบป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.โหวตสนับสนุนในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเอง หรือในส่วนของการเสนอกฎหมายนั้นรัฐธรรมนูญไม่ให้โหวตในกฎหมายที่ตัวเองมีส่วนได้เสียโดยตรง
"การตีความของพรรคฝ่ายค้านนั้นกว้างขวางเกินไปไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เป็นการตีความที่ทำให้การทำงานทำไม่ได้ เพราะการยึดว่ารัฐมนตรีเป็นผู้เสนอกฎหมายแล้วลงมติไม่ได้ก็เท่ากับว่า ครม.ทั้งชุดลงมติกฎหมายที่ออกมาจาก ครม.ไม่ได้เลย ถือว่าตลกมาก เลยเถิดไปกันใหญ่ การใช้กฎหมายต้องทำอย่างเป็นปกติไม่ใช่ตีความเพื่อเล่นงานใครคนใดคนหนึ่ง"
ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ แถลงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งตรากฎเหล็ก 9 ข้อ ที่รัฐมนตรีต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย นายกฯจึงต้องรับผิดชอบด้วย และหากนายกฯ ยังไม่ดำเนินการอะไร หรือรัฐมนตรียังไม่ลาออก จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาทันทีในสัปดาห์หน้า
พท.ยื่นหลักฐานป.ป.ช.เพิ่มกรณี"บุญจง"
ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางเข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีกล่าวหานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แจกเงินพร้อมแนบนามบัตร โดยเป็นภาพวิดีโอ และได้ทำหนังสือขอรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากทราบว่าที่แจกกันในวันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่หัวคะแนนนายบุญจง
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า อีก 2 สัปดาห์จะเปิดเผยข้อมูลคนใกล้ชิดนายวิฑูรย์ ซึ่งเป็นส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำตัวเป็นเจ้าแม่ในกระทรวงพม. ที่มีอักษรย่อชื่อเล่น "บ" ซึ่งควรโดนตรวจสอบโดยมาตรา 266 เพราะใช้อำนาจ ส.ส.ไปก้าวก่ายข้าราชการประจำ และหาผลประโยชน์ จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ว่าหากไม่รีบตัดตอนนายวิฑูรย์ ก็จะลามไปถึงคนใกล้ตัวนายกฯ เพราะเจ้าแม่ "บ" คนนี้ สนิทสนมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

"อภิสิทธิ์"คุยโต๊ะกลม"อันนัน-บิล เกตส์"ถกความมั่นคงอาหาร


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (WEF) ครั้งที่ 39 ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. ถึง 1 ก.พ. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า การร่วมประชุมประจำปีผู้นำเศรษฐกิจโลกทั้งภาครัฐบาลและเอกชนของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะได้พบกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้จัดงานโดยจะได้พูดคุยกันเรื่องของสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่ไม่ได้มีผลผูกพันทางการเมือง หรือทางกฎหมาย

"เป็นการประชุมที่เปิดกว้างให้ผู้นำภาคธุรกิจและภาครัฐมาแสดงความคิดเห็น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า รอบหลายปีที่ผ่านมาปรากฏว่าการประชุม WEF กลับมีผลผูกมัดในเชิงนโยบาย คือ มีการนำไปปฏิบัติ เวที WEF จึงเป็นที่สนใจของผู้นำโลกที่จะเข้ามาแสดงจุดยืนความคิดเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ปัญหาทุนนิยม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่กำลังพัฒนารวมทั้งแนวทางใหม่ๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเจริญเติบโต

ในการสัมมนากลุ่มย่อย WEF จะมีผู้นำที่หลายหลายเข้ามาร่วมเป็นผู้อภิปราย บางกลุ่มเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยจะแสดงปาฐกถาเปิดการเสวนาในบางกลุ่ม และอาจเป็นผู้ร่วมเข้าฟังในบางกลุ่ม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำอื่นๆ เข้ามาร่วมเสวนา บรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ แต่หัวข้อการพูดคุยค่อนข้างเข้มข้น โดยสิ่งที่เราจะพูดจะมีเฉพาะส่วนที่เราเข้มแข็ง อาทิเช่น เรื่องการค้า การท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ในวันนี้ 30 ม.ค. เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้กล่าวเปิดเสวนาเรื่อง "การเจริญเติบโต ผ่านการเดินทางและการท่องเที่ยว " เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าไทยเข้มแข็ง ในแง่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมบริการ และอุตสาหกรรมการเดินทาง

"ท่านนายกฯ ได้นำเสนอว่า ในยามที่วิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น ถ้าเรามีการท่องเที่ยวการเดินทางที่ดีจะพยุงผลกระทบจากเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องคิดถึงการส่งออกมากนัก แต่การส่งออกยังเป็นเรื่องสำคัญจะต้องมีมาตรการหนุนการส่งออก"

นายปณิธาน เปิดเผยด้วยว่า แม้ว่าต่างชาติเขาซื้อสินค้าเราไม่ได้ แต่เขาสามารถมาเที่ยวในไทยได้ คนไทยเที่ยวกันเอง เศรษฐกิจก็จะประคับประคองตัวได้ แต่จะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน ซึ่งในเชิงบริหารของไทยได้ให้มีการยกระดับให้มีการรักษาความปลอดภัยโดยการร่างกฎหมายออกมา และนอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยแล้ว ไทยยังมีมาตรการจูงใจยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือน ลดค่าใช้จ่ายเที่ยวบินเหมาลำที่จะลงจอดสนามบิน มาตรการลดภาษีต่างๆให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว

"การที่ไทยได้ไปร่วมครั้งนี้ถือเป็นการโชคดีที่เป็นสัญญาณว่าไทยได้กลับมามีผู้นำเข้มแข็งและพร้อมจะเดินหน้าประเทศต่อไป"

ขณะที่กำหนดการช่วงบ่ายวันที่ 30 ม.ค. นายกรัฐมนตรี เข้าประชุมร่วมกับผู้นำโลกหลายประเทศ เพื่อถกปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยนายกรัฐมนตรีไทย มีโอกาสนำเสนอประสบการณ์ว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกตอนนี้เกิดขึ้นกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาเคยประสบวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้มาแล้วอย่างรุนแรงและไทยเอาตัวรอดมาได้อย่างไร มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มความเข้มแข็งสถาบันการเงินอย่างไร

“ท่านนายกฯ พร้อมเล่าให้ฟังในเวทีโลก ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจโลก พร้อมกับมีการเสนอให้ปรับโครงสร้างของทุนนิยมโลก ปฏิรูปสถาบันการเงินในระบบทุนนิยม อาทิเช่น ไอเอ็มเอฟ และ สถาบันอื่นๆ"

นายปณิธาน กล่าวอีกว่า โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี จะคุยเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เชื่อว่าเรื่องนี้หลายประเทศจะสนใจฟัง โดยจะมีนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ นายบิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ ประธานมูลนิธิบิล เกตส์ รวมไปถึงประธานบริษัทผลิตอาหารยักษ์ใหญ่หลายแห่งของสหภาพยุโรปเข้าร่วมด้วย


"โอกาสนี้นายอภิสิทธิ์ จะกล่าวถึงความได้เปรียบของไทยในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา ซึ่งเวลานี้หลายประเทศต้องการอาหารจากไทยเพราะมีหลายประเทศที่ประสบกับวิกฤติทางด้านอาหาร ก็จะระงับการส่งออกหรือไม่ก็ตั้งกำแพงภาษี โดยสรุปแล้วเวทีนี้ไทยจะมีบทบาทสูงในฐานะเป็นผู้ผลิตที่หลายประเทศสนใจ"




ส่วนช่วงเย็นนายอภิสิทธิ์ จะพูดคุยถึงบทบาทของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจโลก 20 ประเทศ ตรงนี้จะลงรายละเอียดของการปฏิรูปโครงสร้างทุนนิยม บทบาทของกลุ่มประเทศ G20 ที่ตกลงจะทำงานร่วมกันในเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบในแง่ทุนนิยม เรื่องการออมและการปฏิรูปสถาบันต่างๆ และทำตามนโยบายในการปรับปรุงโครงสร้างทุนนิยมโลกให้มีความเป็นธรรม และในช่วงค่ำจะมีการพบปะกับนักธุรกิจและผู้นำประเทศต่างๆ อีกครั้ง
"นายกรัฐมนตรีจะประกาศต่อหน้าซีอีโอบริษัทยักษณ์ใหญ่นานาประเทศว่า ประเทศไทยเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ รัฐบาลไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น-ระยะกลางออกมาแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับพอสมควรและอาจจะมีการกระตุ้นอีกระลอกหากไม่ได้ผล เพราะมีการคาดการณ์ว่าอีก 3-4 เดือนข้างหน้าจะหนัก ซึ่งอาจจะมีการทบทวนโครงการและผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนระยะกลาง และระยะยาวต่อ หลังจากนั้นเชื่อว่านานาประเทศจะเข้าใจว่าไทยกลับมาทำงานผลักดันนโยบายผ่านสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติ แม้ในทางการเมืองจะมีการชุมนุมประท้วงมีความเห็นแตกแยกกันบ้าง แต่ความร้อนแรงและการเผชิญหน้าก็ลดลงเรื่อยๆ การเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมารัฐบาลได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ที่เหนือความคาดหมาย ส่วนต่างประเทศก็ลดระดับการเฝ้าระวังของไทยลง รวมถึงยกเลิกมาตรการเตือนไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย อัตราของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยก็มากขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าด้านการเมืองและเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ”

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางแก้ไขปัญหาการเมืองโดยพยายามตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองจากคนที่ได้รับการยอมรับเพื่อมองหาแนวทางแก้วิกฤติทางการเมือง ตรงนี้ต่างประเทศจะมั่นใจว่า ไทยมีกระบวนการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ และรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆออกมาเป็นระยะเพื่อให้ต่างประเทศเห็นว่า ไทยมีความพยายามและความตั้งใจจริง

"ตอนนี้ต้องรอผลจากการทำงานเหล่านี้ในระยะเวลา 3-6 เดือนจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าน่าจะเห็นผลบ้างอย่างน้อยยังดีกว่าในช่วงที่เกิดความขัดแย้งที่อยู่ในสภาวะชะงักงัน อย่างไรก็ตามเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียว ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราทำทุกอย่างเต็มที่แล้วตลาดที่เราจะขายยังมีปัญหา ไทยก็ทำอะไรได้ไม่มากจึงใช้เวทีการประชุมดังกล่าวบอกให้นานาชาติรู้ว่าเราทำเต็มที่ และในฐานะไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนซัมมิต นานาประเทศคงอยากรู้ว่าไทยมีความคิดอย่างไรต่อประเด็นต่างๆในเวทีโลก"

หลังเดินทางกลับจากเวที WEF รัฐบาลจะประเมินการตอบรับของต่างประเทศ ซึ่งหากได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นจะใช้รูปแบบนี้ในเวทีอื่นๆ ต่อไปเพราะนายกรัฐมนตรีมีแผนที่จะเดินทางไปโรดโชว์ยังญี่ปุ่น และจีน รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียนหลายประเทศด้วย

"สมิทธ์"เตือนรับมือโลกร้อน 45 องศา-น้ำท่วมกรุงเทพฯ






หมวดข่าว : สังคม



โดยทีมข่าว : สังคม
คลื่นความร้อนที่ทำให้ชาวออสเตรเลีย ต้องออกมานอนรับลมใต้ร่มไม้ ตามชายหาด ส่งสัญญาณว่าโดกกำลังจะร้อนขึ้น กรณีนี้ นายสมิทธ์ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้เหตุผลว่า โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม และวงรี ซึ่งข้อมูลดาราศาสตร์ทั้งต่างประเทศและประเทศไทย



"ขณะนี้โลกใกล้ดวงอาทิตย์มาก ทำให้แกนโลกเอียงมากขึ้น โดยปกติจะเอียง 22.5 องศา แต่ขณะนี้เอียง 24 องศา ขั้วโลกเหนือจึงเย็นลงถึงเส้นศูนย์สูตร เกิดคลื่นซัดฝั่งตะวันออก เมื่อพ้นหน้าหนาว เข้าสู่เดือน ก.ค. แกนโลกที่เอียงออกจากดวงอาทิตย์ ก็จะเริ่มเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกภาคเหนือ รวมถึงประเทศไทย จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และร้อนขึ้นถึง 45 องศา"



ทั้งนี้ ทุกๆ 41,000 ปี แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์และตั้งตรง และขณะนี้ทางภาคอีสาน แถว จ.ศรีสะเกษ และใกล้เคียง แหล่งน้ำก็เริ่มแห้งแล้ว



นายสมิทธ์ กล่าวอีกว่า ที่กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า คงไม่ร้อนถึงขนาดนั้น เพราะมีปรากฏการณ์ "ลานินญ่า" ซึ่งเขาก็เห็นด้วย แต่เมื่อฤดูร้อนผ่านไป ไอร้อนที่อยู่ในพื้นผิวดินจะขึ้นมา เมื่อถึงหน้าฝนก็จะเกิดน้ำท่วมไหลหลาก เริ่มประมาณเดือน พ.ค. มิ.ย. และ ก.ค. ซึ่งทุกอย่างเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และในเดือน ส.ค. ก.ย. และ ต.ค. อาจจะเกิด "สตอมเซิส" แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูว่าหน้าร้อนนี้จะร้อนหนักหรือไม่



ส่วนน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั้น นายสมิทธ์ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นห่วง และพยากรณ์ว่า 15-20 ปีน้ำทะเลจะสูงขึ้น เพราะน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน ปริมาณน้ำท่วม และน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นก็มีโอกาสเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องดูระดับน้ำในอ่าวไทยว่าจะล้นสันดอนในปากน้ำหรือไม่ ถ้าล้นก็จะดันน้ำทะเลเข้ามาที่แม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะส่งผลกระทบทำให้ไม่มีน้ำประปาสำหรับใช้และดื่ม



ส่วนโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น มีนักวิทยาศาสตร์บางท่านบอกว่า หากแกนโลกเอียงมาก เปลือกโลกก็อาจจะเคลื่อนตัว และอาจะเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิ ตามมา ก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

นายกฯต้องสร้างมาตรฐานจริยธรรม

หมวดข่าว : วิเคราะห์
โดย กองบรรณาธิการ
เพียง 1 เดือน แทบไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเจอด่านทดสอบ "มาตรฐานจริยธรรม" ของคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลของเขา 2 คนคือนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย จากกลุ่มเพื่อนเนวิน และนายวิทูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยทั้ง 2 รายนั้นเป็นรัฐมนตรีมือใหม่ป้ายแดง
ทั้งนี้ กรณีของนายบุญจง นั้น นายกฯจะรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พิจารณาชี้ขาดเรื่องการแจกเงินแนบนามบัตรของนายบุญจง เข้าสู่การพิจารณา ถ้ามีการชี้มูลจริงก็ต้องมาพิจารณากัน แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามีการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องยอมรับการตรวจสอบดังกล่าว
"ถ้าป.ป.ช. ชี้มูลว่ามีความผิดนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะปรับครม. ซึ่งอันนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว "
ส่วนกรณีของนายวิฑูรย์ ซึ่งตอนนี้เริ่มขยายผลว่ามีคนในพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแจกปลากระป๋องเน่า นั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า กำลังดูข้อมูลทั้งหมดและก็คิดว่าหลังจากที่กลับมาจากการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. นี้ ก็คาดว่าจากนั้นอีกไม่เกิน 1-2 วัน พรรคประชาธิปัตย์ จะมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องนี้
ทั้ง 2 กรณีนั้นพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นป.ป.ช.ไปแล้ว 1 เรื่อง และวันหรือสองวันี้ก็จะยื่นอีก 1 เรื่อง
ทั้ง 2 กรณี พุ่งเป้าความรับผิดชอบไปที่ตัวนายกรัฐมนตรี กับกฎเหล็กของนายกรัฐมนตรี การที่ปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือ มันจะเป็น "ไมล์สะสม" อย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน เพื่อไทย กล่าวเอาไว้ในรัฐสภา

เรื่องนี้ส่งผลต่อเสถียรภาพ และความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ว่า การตัดสินใจแก้ปัญหายังยึดตามมาตรฐาน 9 ข้อที่ได้มอบให้ครม.นำไปปฏิบัติ ไว้

เพราะฉะนั้น สัญญาณที่ส่งออกมาหมายถึงต้องการให้รัฐมนตรีทั้ง 2 คนแสดงสปิริตด้วยตัวเอง เพื่อสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง หรือนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ปรับทั้ง 2 คนออกจากตำแหน่ง เพื่อยกระดับมาตรฐาน มิให้คนที่มีรอยด่างเข้ามาปรากฎกายอยู่ในคณะรัฐมนตรี มิใช่การจำนนต่อความผิด เพราะการพิสูจน์ความผิดไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
แต่เวลานี้คนไทยต้องการเห็นมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองเหนือสิ่งอื่นใด

รวบแล้วเสี่ยเต้นท์รถนายทุนผลิตแบงค์ปลอม



หมวดข่าว : สังคม


โดยทีมข่าว : อาชญากรรม


เสี่ยเต้นท์รถนายทุนจ้างทำแบงค์ปลอมจนมุมพร้อมลูกน้อง ตำรวจโคราชรวบถึงบ้านย่านลาดพร้าว ของกลางเพียบ ยังปากแข็งปฏิเสธ ด้านลูกมือสารภาพสิ้นไส้ ปลอมทั้งแบงค์ไทย เขมร พม่า ไม่เว้นแม้ประเทศแถบแอฟริกาใต้ พาสปอต วีซ่า เอทีเอ็ม ผบช.ภ. 3 ระบุเป็นขบวนการใหญ่ระดับชาติ สร้างความสูญเสียให้เศรษฐกิจอย่างมาก
วันที่ 29 ม.ค. เมื่อเวลา 09.45 น. ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.นครราชสีมา และพ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา หัวหน้าชุดสืบสวนจับกุม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมขบวนการผลิตแบงค์ปลอม ได้ผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายศรรามณ์ หรือพงษ์เดช ติงวัฒนะ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 235 ซอยลาดพร้าว 115 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เสี่ยเต้นท์ขายรถยนต์มือสองนายทุนใหญ่ ที่สั่งผลิตแบงค์ปลอม นายอลงกต เที่ยงคืน อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12 ถ.ปทุมกรุงเทพฯ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ลูกน้องคนสนิทของนายศรรามณ์ และนางกัลยา ท่านมุข อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/2 หมู่ 5 ต.หนองปลาไหล อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ภรรยานายอลงกต


สำหรับของกลางที่ตรวจยึดครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้นเตอร์ เครื่องปั้มเอกสารนูน เครื่องตัดกระดาษ แผ่นฟรอยสีทอง แผ่นโลหะ เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด และอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้ในการผลิตธนบัตรปลอมของไทย กัมพูชา พาสปอต เอทีเอ็ม ตราประทับทางราชการประเทศต่างๆ และวีซ่าปลอมอีกหลายประเทศ รวม 48 รายการ


พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 51 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาได้บุกจับกุม นายสนอง เงินจันทร์ อายุ 54 ปี นายวิทยา บัวรอด อายุ 28 ปี และนายดำรงชัย มะยมหิน อายุ 35 ปี ได้ที่โรงพิมพ์เอ็มบางกอก เลขที่ 4032/2 ถ.จตุรทิศ แขวงดินแดง กรุงเทพฯ พร้อมยึดของกลางธนบัตรปลอมราคาฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 46 ฉบับ กระดาษชนิดมันที่ใช้ผลิตธนบัตรปลอมจำนวน 800 แผ่น แท่นพิมพ์จำนวน 2 แท่น แผ่นแถบสะท้อนแสง แผ่นเพลท สำหรับทำแม่พิมพ์ เครื่องอัดเพลท 1 เครื่อง เครื่องอคมพิวเตอร์ 2 ชุด เครื่องปริ๊นเตอร์สี 2 เครื่อง สีกระป๋องที่ใช้พิมพ์ธนบัตร ที่รองกระดาษ กาวทาเพลท และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตธนบัตรปลอมรวมอีกกว่า 10 รายการ


ครั้งนั้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ร่วมกันผลิตธนบัตรปลอมมานานหลายเดือนแล้ว โดยมีนายทุนใหญ่คือนายพงษ์เดช เจ้าของเต้นท์รถมือสองในเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และนายอลงกต เป็นผู้ว่าจ้างให้ผลิตธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 10,000 ฉบับ แลกกับเงินค่าจ้างจำนวน 200,000 บาท


ต่อมาศาลจังหวัดนครราชสีมา ได้ออกหมายจับนายอลงกต และทีมสืบสวนได้ตามแกะรอยนานนับเดือน กระทั่งสามารถจับกุม นางกัลยา ภรรยาของนายอลงกต ได้เป็นคนแรก เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 52 ที่บ้านพักภายในหมู่บ้านอัมรินทร์ แขวงสายไหม โชคชัย 4 กรุงเทพฯ จากนั้นชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมนายอลงกต ได้ในค่ำวันเดียวกัน ขณะกบดานอยู่ภายในบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยลาดพร้าว-วังหิน 62 โชคชัย 4 กทม. จนกระทั่งคืนวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงติดตามจับ นายพงษ์เดช ที่เปลี่ยนชื่อเป็น นายศรรามณ์ ไว้ได้ภายในบ้านพักเลขที่ 235 ซอยลาดพร้าว 115 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ


สอบสวนนายอลงกต สารภาพว่า นายศรรามณ์ สัญญาว่าจะให้บ่อปลา 1 บ่อ ย่าน ต.บางปรอก จ.ปทุมธานี เป็นค่าจ้าง ในการไปว่าจ้างพรรคพวก 3 คนที่ถูกจับก่อนหน้านี้ พิมพ์ธนบัตรปลอมที่โรงพิมพ์เอ็มบางกอก กรุงเทพฯ จำนวน 10,000 ฉบับ มูลค่ารวม 10 ล้านบาท ด้วยเงินค่าจ้าง 2 แสนบาท จากนั้นจะมีลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ภาคอีสาน เหนือ และใต้ ที่สั่งซื้อมารับธนบัตรปลอมไปกระจายสู่ตลาดอีกครั้ง


นายอลงกต สารภาพว่า นอกจากนี้นายศรรามณ์ ยังได้สั่งให้ผลิตธนบัตรปลอมอีกหลายประเทศ อาทิ แบ็งค์กีนี (แอฟริกาใต้ ธนบัตรกัมพูชา และธนบัตรพม่าตลอดจนพาสปอต วีซ่า และเอทีเอ็มปลอมอีกหลายประเทศตลอดจนบัตรประชาชน และหลักฐานสำคัญอื่นๆอีกหลายรายการ ส่วนนางกัลยาภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตธนบัตรปลอม เป็นเพียงคนช่วยขนสิ่งของหลบหนี ระหว่างที่นายอลงกตถูกตำรวจติดตามจับกุมตัวเท่านั้น


พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวว่า เบื้องต้นนายอลงกต ให้การรับสารภาพและให้การซัดทอดนายศรรามณ์ว่าเป็นนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการผลิตธนบัตรปลอมระดับชาติครั้งนี้ แต่ตัวนายศรรามณ์ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อหาและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น แต่ตำรวจมีหลักฐานพยานแน่นหนาสามารถดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน


"สำหรับการจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นการถอนรากถอนโคนขบวนการผลิตแบงค์ปลอม ที่ถือว่าเป็นขบวนการระดับชาติ เพราะจากการสืบสวนและพบหลักฐาน มีการผลิตธนบัตรปลอมของต่างชาติอีกหลายประเทศ พร้อมเอกสารสำคัญอย่างอื่น เช่น พาสปอต วีซ่า บัตรประชาชน เอทีเอ็ม และตราประทับทางราชการของประเทศต่างๆอีกหลายรายการ ขบวนการผลิตธนบัตรปลอมนี้ สร้างความเสียหายในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศอื่นๆตำรวจจะได้ประสานกับประเทศที่เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป " พล.ต.ท.กฤษฏากล่าว

"สุเทพ"ต่ออ๊อกซิเจน"วิฑูรย์"ให้โอกาสแจงปลากระป๋องเน่า



หมวดข่าว : การเมือง


โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล


แม่บ้านรัฐบาล ยังให้โอกาส "วิฑูรย์ นามบุตร" แจงถุงปลิดชีพซุกปลากระป๋องเน่า ก่อนตัดสินใจถอดไม่ถอดสายอ๊อกซิเจน ปฏิเสธ "สุทัศน์" เคลื่อนไหวเปลี่ยนตัวรมว.พม.


วันนี้ (29) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหลังกลับจากเมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ จะชัดเจนกรณีเรื่องการแจกปลากระป๋องเน่า ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปรวบรวมหลักฐานเอกสารข้อมูลทั้งหมดมาชี้แจงว่ามีความถูกหรือผิดตรงไหนอย่างไร รวมทั้งต้องชี้แจงเรื่องต่อรัฐสภาและประชาชน


นอกจากนี้ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ด้วย แต่ก็ให้โอกาสนายวิฑูรย์ ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานก่อน และหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากต่างประเทศ เราก็คงจะได้รู้ว่าเอกสารหลักฐานทั้งหลายที่นายวิฑูรย์ นำมาแสดงนั้น เป็นเหตุเป็นผลขนาดไหน


ผู้สือข่าวถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้อาจจะมีการตีความได้ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณให้นายวิฑูรย์ เตรียมตัวแสดงสปิริต เพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ นายสุเทพ กล่าวว่า เราเป็นคนนอก ทุกคนไม่ได้อยู่ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิฑูรย์ เป็นคนที่รู้เรื่องดีที่สุด ก็แล้วแต่นายวิฑูรย์ จะพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไร ในเบื้องต้นเราก็ให้โอกาส ไม่ใช่ว่าพอโดนกล่าวหาแล้วเราจะไปเล่นงานเขา เราให้โอกาสนายวิฑูรย์ได้ไปรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดนำมาแสดง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อน


ต่อข้อถามเรื่องนี้มีการปล่อยให้สังคมคลางแคลงใจมากขึ้น จากเดิมบอกว่าอาจจะเป็นการจัดซื้อรายย่อยด้วยวิธีพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวเลขดูมาก แล้วก็กลายเป็นการจัดซื้อแล้วตั้งเบิกย้อนหลัง ในส่วนนี้รัฐบาลจะสั่งการให้มีการตรวจสอบอย่างไรหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ทำ เราต้องให้ความนับถือกัน นายวิฑูรย์ ก็เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่ง เมื่อโดนกล่าวหา เขาต้องประมวลข้อกล่าวหาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาโดยสื่อ ฝ่ายค้าน เขาต้องออกมาแยกแยะชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีเป็นข้อ ๆ ไป พวกเราก็จะดูตามคำชี้แจงเหล่านั้นว่าฟังขึ้นหรือไม่อย่างไร ก็ต้องให้โอกาสเขา เพราะถ้าฝ่ายค้านกล่าวหาใครแล้วเราเล่นงานหมด เราก็แย่


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายวิฑูรย์ก็ชี้แจงมาหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ชัดเจนสักครั้งเลย นายสุเทพ หัวเราะและกล่าวว่า “เดี๋ยวค่อยมาถามเขาทีหลังก็ได้ ”


ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เคลื่อนไหวเพื่อต้องการเปลี่ยนตัวให้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน หรือนายนิพนธ์ บุญญามณี เข้ามาทำหน้าที่แทนนั้น เป็นความจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีมูลเลยและไม่จำเป็นต้องสอบถามนายสุทัศน์ เพราะนายสุทัศน์ ไม่ได้มีหน้าที่อะไรในพรรคประชาธิปัตย์ที่จะทำเรื่องนี้ คนที่จะมีหน้าที่ทำเรื่องนี้อันดับแรกคือคณะกรรมการบริหารพรรค 19 คน ซึ่งนายสุทัศน์ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ส่วนตัวเขา นายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรค รองเลขาธิการพรรคนั้น เป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้น จึงไม่เชื่อเรื่องข่าวนี้ เพราะว่านายสุทัศน์ไม่ได้มีหน้าที่


ต่อข้อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่านายวิฑูรย์ เป็นเด็กในสายของท่านอาจจะไม่มีใครกล้ามาแตะต้อง นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่จริง เขามักจะโดนอย่างนี้ พอใครมีปัญหาก็โยนมาใส่สายของเขาก่อน ทั้งที่ความจริงเขาก็ดูแลคนทั้งพรรค พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีสายคนนั้นคนนี้หรือก๊วนนั้นก๊วนนี้ เขาเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องดูแลทุกคน

ถกเดือด 11 ชั่วโมง "สภาฯ ” ผ่านงบฯกลางปี 2552


หมวดข่าว : การเมือง


โดยทีมข่าว : รัฐสภา


ส.ส.ถกเดือด 11 ชั่วโมง ก่อน “ สภาฯ ” ผ่านงบฯกลางปี 2552 “ อภิสิทธิ์ ” แฉปิดท้าย ซัดรัฐบาลเก่า ถลุงงบกลางไปแล้ว 2 ใน 3 เหลือให้ ปชป.แค่ส่วนเดียว อ้างงานวิจัยสหรัฐฯ เชื่อ ชาวบ้านได้เงินนำใช้จ่ายไม่ออม


ที่รัฐสภา เวลา 24.00 น. วันที่ 28 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงปิดท้ายการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ.2552 ว่า แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นไม่ได้มีเฉพาะแผนงบประมาณที่เสนอต่อสภาวันนี้ แต่ยังมีเงินหลายกลุ่มที่จัดอยู่นอกงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือการผลิต โดยเฉพาะเกษตรกร รัฐบาลนี้ได้ทุ่มเทการแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตรทั้งหมด 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณทั้งหมดใน พ.ร.บ.นี้ ยังไม่นับการอนุมัติ 600 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนกองทุนฟื้นฟูเฉพาะที่กำลังจะถูกยึดที่ดิน


นอกจากนี้ยังมีโครงการเศรษฐกิจพอเพียงที่จะลงไปสู่ภาคชนบท ซึ่งยอมรับว่าเป็นการต่อยอดมาจากนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน แต่อะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็จะทำ โดยโครงการเศรษฐกิจพอเพียงจะบริหารจัดการให้ตรงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้มากที่สุด โดยใช้เงินเพื่อความยั่งยืนจริงๆ รวมทั้งรัฐบาลยังทุ่มเงินนอกงบประมาณฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ลดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าอากาศยาน ยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกิจโรงแรม และรัฐบาลนี้จะดำเนินการเพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อด้วยความมั่นใจมากขึ้น


ส่วนกรณีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการจ่ายเงินเข้ากระเป๋าประชาชนในหลายกลุ่มนั้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ชัดเจน ที่หลายคนแย้งว่าประชาชนจะไม่ใช้เงินแต่จะนำไปออม ซึ่งจากผลการวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าคนยิ่งจนเท่าไหร่ยิ่งใช้มากเท่านั้น ซึ่งคนไทยจนกว่าคนสหรัฐฯจึงเชื่อว่าจะใช้เงินที่ได้รับอย่างแน่นอน


ต่อกรณีที่ฝ่ายค้านวิจารณ์การตั้งงบกลางจำนวน 4 พันล้านบาทมากระจุกอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี นั้น ไม่ได้กันไว้ เพื่อใช้ตามใจชอบแต่ต้องสำรองไว้ เพราะตัวเลขงบประมาณตามนโยบายหลายตัวยังไม่นิ่งเช่นนโยบายจ่ายเงิน 2 พันบาท หากยังมีช่องโหว่ตรงไหนก็จะใช้งบกลางเข้าไปเสริมได้ทันที และงบกลางของรัฐบาลนี้เหลือเพียง 1 ใน 3 เพราะ 2 ใน 3 นั้นรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ได้ใช้ไปแล้ว


"มีการตั้งข้อสังเกตว่างบกลาง 4 พันล้าน เป็นเพราะผมอยากใช้ตามใจชอบ เรียนว่าที่สำรองเพราะตัวเลขหลายอย่างยังไม่นิ่ง อาทิเช่น เบี้ยยังชีพ หรือนโยบายจ่ายเงิน 2 พันบาทหากไม่ทั่วถึงก็ให้ดึงจากงบกลางไปใช้ วันนี้รัฐบาลบที่แล้ว (พลังประชาชน) ใช้งบฯ ไปแล้ว 2 ใน 3 รบ.นี้เหลือ 1 ใน 3


นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า สถานการณ์การเงินของเราขณะนี้ทำให้ต้องคิดถึงการกู้เงินจากต่างประเทศ เพราะเรายอมรับว่าจะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 10 เปอร์เซ็นต์ เราจะไม่พูดเท็จต่อสถานการณ์จริง แต่ถึงจะเกิดความผันผวนในเศรษฐกิจโลกเราได้มีแผนรับมือทุกอย่างไว้แล้ว ไม่ว่าการขนส่งขนาดใหญ่รถไฟ รถไฟฟ้า ก็ยังอยู่ครบถ้วน แต่ที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือเราต้องมุ่งเน้นให้คนมีกำลังซื้อเพื่อพยุงให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 01.30 น. บรรยากาศการประชุมเริ่มโกลาหลขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อนายชินวรณ์ บุญเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ได้เสนอให้ปิดการอภิปราย โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นด้วยแต่นายวิโรจน์ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคชาติไทยพัฒนา พยายามที่จะอภิปรายอยู่เป็นเวลาร่วมสิบนาที จนในที่สุดนายชัย ต้องขอให้นายชินวรณ์ ถอนญัตติปิดอภิปรายแล้วให้นายวิโรจน์ อภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับงบประมาณในการอบรมฝีมือแรงงานการท่องเที่ยว ในที่สุดนายชินวรณ์ ได้เสนอญัตติปิดการอภิปรายอีกครั้ง โดยก่อนลงมตินายชัย ได้ขอตรวจสอบองค์ประชุมปรากฏว่าในห้องประชุมมีส.ส.ทั้งหมด 257 คน จากนั้นเวลา 00.45 น. ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการด้วยเสียง 238 ต่อ 1 งดออกเสียง 4 และไม่ออกเสียง 15 เสียง โดยมีผู้ลงคะแนนทั้งหมด 258 คน


ต่อมาที่ประชุมได้ ตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญ จำนวน 35 คน โดยมาจากพรรคเพื่อไทย 10 คน พรรคประชาธิปัตย์ 10 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 2 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 1 คน พรรคกิจสังคม 1 คน พรรคประชาราช 1 คน ราษฎร 1 คน พรรคละ 1 คน กำหนดการแปรญัตติภายในเวลา 5 วัน และได้นัดประชุมกมธ.นัดแรกวันพฤหัสบดีที่ 29 ม.ค.เวลา 15.00 น. ในที่สุดเวลา 01.00 น.นายชัย สั่งปิดการประชุมในเวลา 01.00 น. รวมเวลาการพิจารณาพ.ร.บ.ฉบับนี้ทั้งหมด 11

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

นายกฯยึดมั่นนิติรัฐคลี่คลายวิกฤติบ้านเมือง

หมวดข่าว การเมือง
โดย ทีมข่าวรัฐสภา
นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลต้องเคารพและบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างหลักนิติรัฐ คลี่คลายวิกฤติบ้านเมือง ยืนยันเดินหน้าปฏิรูปการเมืองแต่ไม่เขียนว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ ปล่อยให้กระบวนการนำพาไป เผย "เครื่องมือพิเศษ" ส่อเหลว เหตุหาคนมาเป็นกรรมการสะสางปัญหาความขัดแย้งยาก


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษเรื่อง "รัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม และการบริหารประเทศในภาวะวิกฤต” ณ ห้องสุขุมนัยประดิษฐ์ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน จ.นนทบุรี วันนี้ (26 ม.ค.) โดยกล่าวว่า หลักการสำคัญของเรื่องนิติธรรม นิติรัฐ คือ ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย แต่ในสังคมมีความบกพร่องในเรื่องนี้ วิกฤติบ้านเมืองที่เกิดขึ้นมาจากความสับสนเรื่องขอบเขตของเสียงข้างมาก กับการคุ้มครองเสียงข้างน้อย ผมย้ำตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านว่าทุกคนต้องเสมอภาค เราไม่อนุญาตให้คนใดคนหนึ่งมีอำนาจ หรือยกเว้นข้อกฎหมายได้ ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเราจะปกครองด้วยความรู้สึก ด้วยกระแส ทำให้สังคมไม่มีกฎเกณฑ์ ซึ่งในประเทศที่เจริญที่เป็นแม่แบบเรื่องนิติธรรม-นิติรัฐ ประเทศเหล่านั้นจะยึดเรื่องความเสมอภาคเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะพูดถึงหลักการประชาธิปไตย ส่วนหลักนิติธรรม เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเปลี่ยนระบบการเมือง หรือปฏิรูป หลักการนี้เราทิ้งไม่ได้ แต่ก็เกือบจะล้มเหลวในการรักษาหลักการนี้ ดูจากเรื่องเล็ก จนถึงเรื่องใหญ่ ตั้งแต่กฎจราจร กฎหมายระดับท้องถิ่น ปัญหาธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เรื่อยมาถึงการทำผิดกฎหมายในข้าราชการและฝ่ายการเมือง ถ้าสังคมเรายังไม่จริงจังกับเรื่องเหล่านี้ ความคาดหวังว่าจะเห็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ทำตามกฎเกณฑ์ก็เป็นเรื่องยาก

เพราะฉะนั้น ประเทศไทยต้องแก้ไขและข้ามพ้นให้ได้ เพราะอนาคตเศรษฐกิจจะอิงกับตลาดโลก ซึ่งจะชี้ขาดว่าบ้านเมืองไหนสามารถแข่งขัน หรือเรียกความมั่นใจในการเข้ามาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ เรื่องนี้จึงยังคงเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข

ขณะที่ภาระหน้าที่ของทุกคนต้องสร้าง "หลักนิติรัฐ" บนหลัก "นิติธรรม" ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฟันฝ่าวิกฤติเพื่อเดินหน้า ยังเป็นภาระที่สำคัญมาก หากถามว่ารัฐบาลคิดอย่างไรและกำลังจะทำอะไรนั้น ตนเรียนว่ารัฐบาลต้องแสดงให้เห็นว่าเคารพกฎหมาย ในเรื่องของการที่จะทำให้เกิดความสงบ คลี่คลายวิกฤตก็ต้องอิงกับเป้าหมายของรัฐ คือความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย โดยหาจุดที่เหมาะสมของระบบการเมือง

ผมได้แถลงนโยบายรัฐบาลว่าเราจะเดินหน้าปฏิรูปการเมือง ส่วนการปฏิรูปการเมืองจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ หรือต้องทำอะไรนั้น มันก็จะครอบคลุมในตัวของมันเอง เพราะถ้าเขียนนโยบายว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดความขัดแย้ง จะมีการกล่าวหาว่าแก้เพื่อใคร จึงพยายามหาความเห็นร่วมให้มากที่สุดในการออกแบบองค์กรในการปฏิรูปการเมือง

สำหรับความทุกข์ของผม และคนทำงานในวันนี้ คือพยายามหาคนที่คนยอมรับ ซึ่งมันไม่ง่าย ผมปรึกษากับประธานวิปฝ่ายค้านบ้างแล้ว และเป็นอย่างที่คิดคือเอ่ยชื่อใครมากี่คนก็จะบอกว่าไม่ใช่ ไม่เป็นกลาง ยาก แต่ผมคิดว่าจะเดินหน้าต่อ ส่วนเรื่องตัวบุคคลไม่ได้ก็จะยึดตัวสถาบัน และสถาบันพระปกเกล้าก็เหมาะสมที่สุด แต่ต้องถามฝ่ายค้านว่าต้องตัดสินด้วยองค์กรใด ผมคิดว่าสถาบันนี้น่าจะเป็นที่ยอมรับต่อไป เพราะถ้ายึดตัวสถาบันเป็นหลักในการออกแบบน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ไม่แน่ใจว่าสำเร็จหรือไม่ เพราะต้องดูว่าฝ่ายค้านจะยอมรับหรือไม่ แต่จำเป็นต้องทำ

ด้าน "การบังคับใช้กฎหมาย" ในการดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รัฐบาลจะทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการละเว้นหรือกลั่นแกล้งกัน เรื่องนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับทราบชัดเจน ว่าเป็นภารกิจที่ต้องทำ และฝ่ายค้านก็ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเช่นกัน ซึ่งถ้าพิจารณาเป็นคดี ต้องยอมรับว่าหลายเหตุการณ์ มองมุมในความผิดทางอาญาไม่ได้ ต้องมองในมุมของการเมืองด้วย เหมือนต่างประเทศที่มีระดับความผิดหลากหลายกว่าเรามาก ตรงนี้ต้องเรียนรู้พอสมควร

ความตั้งใจของผมคืออยากมีคณะบุคคลเข้ามาปรึกษาและสะสางตรงนี้ ซึ่งก็หายากเช่นกัน เวลานี้ได้คุยกับบุคคลท่านหนึ่ง พบกันแล้วครั้งหนึ่งและโทรศัพท์นับครั้งไม่ถ้วน แต่ท่านไปทาบทามใคร ก็กลัวว่าเป็นภาระหรือกังวลว่าจะได้รับการยอมรับหรือไม่ เพราะยืนท่ามกลางความขัดแย้ง เนื่องจากการแตกแยกตอนนี้ถึงขั้นลึกพอสมควร จึงหวังว่าจะตั้งคณะบุคคลขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันในความยุติธรรม อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ

ด้านการทำงานของรัฐบาลที่โดนกดดันด้วยภาวะเศรษฐกิจของโลก จึงมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะหากทำไม่สำเร็จความขัดแย้งก็จะมากเช่นเดียวกัน แต่ความพยายามของรัฐบาลในการยึดนิติธรรมนิติรัฐ ทำให้เกิดการยอมรับในสังคมวงกว้างคือสิ่งที่เราจะผลักดันต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

"ไชยวัฒน์"จี้ใช้กฎหมายจัดการอันธพาลเสื้อแดง

หมวดขาว : การเมือง
โดย : ทีมข่าวการเมือง
เหตุร้ายขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2552 เกิดจากการที่วิทยุชุมชนได้ปลุกระดมประชาชนให้ไปรวมตัวกันที่พุทธสถานในเครือข่ายของสันติอโศก และได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน รวมตัวกันไปยังพุทธสถานดังกล่าว ได้ใช้ก้อนหิน ขวดน้ำ ขว้างปา ได้ตัดน้ำ ตัดไฟ และได้เผาเพิงพักของพุทธสถานดังกล่าว ในขณะที่พระสงฆ์และพุทธบริษัทของพุทธสถานแห่งนั้นนั่งนิ่งด้วยความสงบ และในขณะเดียวกันก็มีตำรวจเกือบ 10 นายสังเกตการณ์อยู่แต่มิได้ห้ามปราม ได้ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่ประชาชนที่ได้เห็นภาพและข่าวจากสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง

ต่อมา เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.วันที่ 24 ม.ค.52 กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 300 คน นำโดยนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ที่เข้าปิดล้อมและก่อความวุ่นวายภายในหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีการจัดงาน “ราตรีอ่างแก้ว 2552” ของสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อขับไล่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย

วันเดียวกันที่.จ.ร้อยเอ็ด ได้มีกลุ่ม นปก.ส่วนใหญ่จะเป็นชายฉกรรจ์ที่มีการชูป้ายต่อว่าพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีใบสั่งเด็ดขาดให้ นปก.ที่เคลื่อนไหว ทำการรื้อเวทีให้ได้ ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าวเป็นกลุ่มนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ ได้ทำการเกณฑ์ชาวบ้านเข้าร่วมขับไล่พันธมิตร ารคาดการณ์การเกณฑ์จำนวนคน จะมีมากกว่า 2 พันคน ขณะที่มีรายงานแจ้งว่า กลุ่ม นปก.ใน จ.กาฬสินธุ์ จ.มหาสารคาม จ.ยโสธร ได้เคลื่อนไหวเข้ามาป่วนเวทีพันธมิตร วยเช่นกัน

นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่าตั้งแต่วันแรกที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ประกาศธำรงระบอบนิติรัฐของประเทศ ปกป้องคุ้มครองประชาชน ทำบ้านเมืองให้เรียบร้อยและให้ประชาชนเป็นสุข แต่หลังจากนั้นก็ยังคงเกิดเหตุร้ายเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน กลุ่มอันธพาลเสื้อแดงได้ข่มขู่คุกคามทำร้ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งยกพวกไปฆ่าคนกลางเมือง และทำร้ายทำลายทรัพย์สินหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีใครทำอะไร

กรณีที่พุทธสถานดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในเวลากลางวันแสก ๆ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นความผิดซึ่งหน้า เป็นความผิดฐานวางเพลิงของพุทธสถานซึ่งมีโทษร้ายแรง มีความผิดฐานทำลายสาธารณูปโภคน้ำไฟของพุทธสถาน และทำลาย ทำร้าย ข่มขู่คุกคามพุทธบริษัท ที่ทำให้ผู้พบเห็นทั้งหลายสะเทือนใจ และเริ่มไม่เชื่อใจรัฐบาลว่าจะมีความจริงใจในการรักษากฎหมาย

นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวว่าถ้ารัฐบาลรักษากฎหมายไม่ได้ ปล่อยให้อันธพาลเสื้อแดงทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย คิดจะฆ่าใครก็ฆ่า คิดจะเผาทรัพย์สินใครก็เผา คิดจะทำร้ายใครก็ทำ ข่มขู่ใครก็ทำได้เช่นนี้ รัฐบาลนี้ก็มีค่าเป็นมะเขือเผา และไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่สมกับที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จึงอยากเตือนรัฐบาลว่าอย่าปล่อยปละละเลยดูแคลนเรื่องนี้ และควรเร่งจัดการให้เห็นผลโดยเร็วที่สุดเพื่อหยุดยั้งความลำพองของอันธพาล ก่อนที่ประชาชนจะทนไม่ไหว

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง แถลงเรียกร้องวันนี้ (25 ม.ค.) ให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง อธิบายต่อสังคมให้ชัดเจน กรณีเมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) รถยนต์ของกลุ่มคนเสื้อแดงถูกตำรวจยิงด้วยอาวุธปืน เพราะเชื่อว่าต้องมีผู้ใหญ่เป็นผู้สั่งการส่วนการขับไล่ นายสุเทพ ของคนเสื้อแดง วานนี้ ที่ จ.เชียงใหม่ เห็นว่า มีสิทธิ์ทำได้เพราะไม่ละเมิดกฎหมาย

ด้าน นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (26) เวลา 10.00 น.กลุ่มคนเสื้อแดงจะเดินทางไปสถานทูตฟิลิปปินส์ และ บรูไน เพื่อคัดค้านการจัดการประชุมอาเซียนซัมมิต และการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของ นายกษิต ภิรมย์

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ยังกล่าวว่า มีการบล็อกประชาชนในพื้นที่ไม่ให้เข้ามาร่วมชุมนุมใหญ่ วันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งมี ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

3Gส่อโดนดองแล้วเหตุกินหัวคิวคำโต

ประเภทข่าว : ไอที
โดย : ทีมข่าวไอที

โครงการสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมระบบ 3G ซึ่งกำลังแย่งชิงกันอย่างรุนแรงระหว่าง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือองค์การโทรศัพท์เดิม และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ กสท. ด้วยเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 29,000 ล้านบาท หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้นร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที โดนกดดันอย่างหนัก

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เตรียมที่จะชะลอโครงการออกไป เหตุเพราะผู้บริหารของแต่ละหน่วยงาน และบอร์ดบางคนพยายามเตะถ่วง เพราะกิน "คำใหญ่" เกินไป อาจจะกลืนไม่คล่องคอ และอาจสำลักตายในที่สุด

ข้อมูลจากบริษัทโทรคมนาคม ระบุถึงความเป็นมาของการเตรียมจัดตั้งโครงการ 3G ว่า ในเบื้องต้นนั้นจะใช้เงินลงทุนเพียง 12,000 ล้านบาท แต่ฝ่ายการเมืองก่อนหน้านี้ให้เพิ่มวงเงินลงทุนเพิ่มเข้าไปอีก 2,000 ล้านบาท เป็น 14,000 ล้านบาท ซึ่งหลักฐานโครงการมีปรากฏชัดเจน

ต่อมาในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ฝ่ายการเมืองได้ปรับวงเงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก 15,000 ล้านบาท เป็น 29,000 ล้านบาท ในขณะที่วงเงินลงทุนมาตรฐานของโครงการ 3G ใช้วงเงินลงทุนทั่วโลกก็มีระดับแค่ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น จึงทำให้ฝ่ายบริหาร และบอร์ดบางคนรักตัวกลัวตาย เกรงว่าจะ "ติดคุก" ตอนแก่ จึงพากันเตะถ่วงการดำเนินโครงการดังกล่าวหลายรูปแบบ อาทิเช่น บอร์ดบางคนพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าประชุมเมื่อมีวาระนี้ ทำให้การประชุมต้องเลื่อนออกไป หรือถ้าบอร์ดมาประชุมพร้อมก็จะมีการส่งสัญญาณให้ฝ่ายบริหารเตะถ่วงเรื่อง อ้างว่ายังขาดเอกสารบางรายการ จึงทำให้เรื่องคาราคาซังมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ทราบข้อมูลดังกล่าวนี้มาตั้งแต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังเป็นฝ่ายค้าน ดังนั้น จึงได้ประมวลเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งนายกรัฐมนตรี เคยเปิดเผยท่าทีในเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้วว่าจะต้องใช้ความรอบคอบและขณะนี้ก็มีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะมีการเบรคโครงการนี้ โดยให้รอผลการพิจารณาจัดสรรคลื่นความถี่ ให้เรียบร้อยก่อน

ในขณะเดียวกันก็จะให้พิจารณาเงินลงทุนมาตรฐานของโครงการชนิดนี้ที่ประเทศต่าง ๆ เคยทำมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้น เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประหยัดเงินแผ่นดินให้กับประเทศชาติเป็นโครงการที่ 4 วงเงิน 29,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องติดตามดูต่อไปว่านักการเมืองบางพวกจะผลักดันหรือต่อรองเรื่องนี้กันอย่างไร

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

หล่อลายพราง

นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุเพียง 44 ปี ซึ่งรับกับเทรนโลกตะวันตก ที่ผู้นำชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีประธานาธิบดี บารัค โอบามา วัยเพียง 46 ปี เท่านั้น
ส่วนความแตกต่างที่เห็นเด่นชัดคือ สูตรผสมคณะรัฐมนตรี ของรัฐบาลสองประเทศ

บารัค โอบามา จัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาให้หลากหลาย คือ เมื่อประธานาธิบดี อายุน้อย ก็ต้องเลือกคณะรัฐมนตรี ที่มีอายุมาก ที่สำคัญเขาไม่ถือว่าการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อเป็นผู้แทนพรรคระหว่าง ฮิลลารี คลินตัน กับบารัค โอบามา ทั้งสองจะต้องเป็นศัตรูกันตลอดไปเพราะ โอบามา เลือก นางคลินตัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีข้อจำกัดอยู่อย่างมากมาย ทำให้รูปร่างหน้าตารัฐบาล ออกมาไม่สู้จะดีสักเท่าไหร่ ข้อจำกัดสำคัญของนายกฯ อภิสิทธิ์ คือเรื่องของ "คะแนนเสียง" ที่ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นพรรคเสียงข้างมากในสภา ทำให้อำนาจต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อแลกกับการเปลี่ยนขั้วของพรรครัฐบาลเดิม หันมาจับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคเล็กมีอำนาจต่อรองที่สูงกว่า

จะเห็นได้จากประชาธิปัตย์ ยอมทิ้งกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างกระทรวงพาณิชย์ (พรทิวา นาคาศัย) จากพรรคภูมิใจไทย ยอมให้กระทรวงอุตสาหกรรม (ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง) จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ยอมให้กระทรวงคมนาคม (บุญจง วงษ์ไตรรัตน์) จากกลุ่มเพื่อนเนวิน

ขณะที่กระทรวงมั่นคง อย่างกระทรวงมหาดไทย (ชวรัตน์ ชาญวีรกูล) ก็ยังตกไปอยู่ในมือของ “กลุ่มเพื่อนเนวิน”

ภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีตรีจึงออกมาในทำนองเสียง "ยี้" มากกว่าเสียง "ชื่นชม"

อย่างไรก็ตาม แม้จะรวบรวมเสียงข้างมาก (235 เสียง) มาสนับสนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ชนะโหวตเหนือคู่แข่งคือ ประชา พรหมนอก (198 เสียง) แต่เสียงดังกล่าว นั้นเกินครึ่งสภา (220 เสียง) เพียงแค่ 15 เสียงเท่านั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 จึงเป็นรัฐบาล "เสียงปริ่มน้ำ" ไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งโดนตัดสิทธิการเมืองเป็นเวลา 5 ปีกรณียุบพรรค (พลังประชาชน ชาติไทย มัฌชิมาธิปไตย) ในวันที่ 11 มกราคม 2552 จาก 22 จังหวัด 26 เขต 29 ที่นั่ง

รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำที่อาจจะมีปัญหาเรื่องการโหวตในสภากรณีพรรคฝ่ายค้าน (เพื่อไทย ประชาราช) ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะ (สมัยประชุมหน้าเป็นสมัยสามัญทั่วไป ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้) อันจะมีผลต่อการโหวตในสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรคสอง
มาตรา 177 วรรคสอง กำหนดว่า "ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐมนตรีผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันด้วย ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นออกเสียงลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่ง การปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น"

ดังนั้น หากจะสรุปปัจจัยเสี่ยงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 นั้น มี 3 เรื่องหลัก ๆ คือ

1. ปัจจัยเสี่ยงเรื่องคะแนนเสียงในสภา ที่อาจจะมีการ "ซื้อส.ส.หน้าห้องน้ำ" ทำให้กฎหมายสำคัญๆ ที่รัฐบาลเสนออาจจะไม่ผ่านการพิจารณาในสภา โดยเฉพาะกฎหมายการเงิน หากไม่ผ่านสภา รัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก

2. ปัจจัยเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เกิดเฉพาะประเทศไทย แต่วิกฤตินี้ได้แพร่กระจายไปแล้วทั่วโลก ดังนั้น หากรัฐบาลไม่เตรียมรับมือให้ดีก็มีผลต่อคะแนนนิยมในตัวนายกรัฐมนตรี ทันที

3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดการจากการบริหารภายในของคณะรัฐบาล ในอนาคต (กรณีทุจริตคอร์รัปชัน)
ขณะที่โอกาสของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 ก็มีอยู่เหมือนกัน คือ

1. การสร้างประชานิยม แนวใหม่ที่ไม่ใช่การถมเงินลงไปให้รากหญ้าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีการตรวจสอบ ควบคุมการใช้เงิน และการบริหารให้เงินงอกเงย หรือการหยิบเอานโยบาย "ปลูกต้นไม้ใช้หนี้" (แนวคิดคุณหญิง ดร.กัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์) มาใช้ก็ยังเหมาะสมกับช่วงสภาวะโลกร้อน

2. โอกาสที่จะดึงฐานเสียงท้องถิ่นมาอยู่ในฝ่ายของตน ผ่านการโยกงบท้องถิ่น 100,000 ล้านบาท มาใส่ไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อถมกลับเข้าไปใหม่เพิ่มเม็ดเงินเป็นสองเท่า ซึ่งมาตรการนี้ท้องถิ่น ไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้ และที่สำคัญคือได้เพิ่มเป็นสองเท่าด้วย โอกาสที่รากหญ้าจะลืมเจ้าตำหรับประชานิยม ก็จะมาถึงในอีกไม่ช้านี้ เพราะจากการสอบถามชาวอีสาน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เลือกทักษิณ เพราะทักษิณ เอาเงินมาแจก"

การแจกเงินของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 คือการฝังความคิดถึงของชาวอีสานที่มีต่อทักษิณ ให้เป็นอดีตที่โดนลืม จะไม่ให้ใครได้มีเวลามาคิดถึงทักษิณ อีกต่อไป

"เนวิน"-มท. กลไกทำงานมวลชนอีสาน-เหนือ

ดังนั้น จึงมีรายงานข่าวจากกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ได้แจ้งให้แกนนำ และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทราบถึงผลการหารือกับ เนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ขอโควตา รมว.มหาดไทย เพิ่ม ทั้งนี้ ถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ได้ตกลงกันมาก่อนหน้าที่กลุ่มเพื่อนเนวิน จะแยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชน โดยกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้เหตุผลว่า ต้องการใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทย เข้าไปทำงานมวลชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานเสียงการเมืองที่ยังหนุน ทักษิณ ชินวัตร อยู่อย่างหนาแน่นที่สุด

กรณีของกลุ่มเพื่อนเนวิน อาจจะเรียกว่านี่คือรัฐมนตรีต่างตอบแทน และการใช้เนวิน "ย้อนเกล็ดนายใหญ่" ให้เหลือแต่หนังหุ้ม

แต่ข้อครหาเรื่องรัฐมนตรีต่างตอบแทน กลับไปปรากฎชัดเจนเมื่อ พบว่าโควตารัฐมนตรีประชาธิปัตย์ 17 ที่นั่ง นั้น คนในพรรคได้ไป 15 ที่นั่ง ส่วนอีก 2 ที่นั่งเป็น พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

และเป็น วีระชัย คนนี้นี่เองที่ทำให้ "คนใน" พรรคประชาธิปัตย์ (นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ) เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ

สุเทพ เทือกสุบรรณ ให้เหตุผลถึงการดึง วีระชัย วีระเมธากุล มาเป็นรัฐมนตรีในโควตาคนนอกของพรรค เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับประเทศจีน เพราะเคยเป็นผู้จัดการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศจีน และเป็นคนที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และภาษาจีนเป็นอย่างดี รวมถึงคนที่อยู่ในวงการธุรกิจ ที่สามารถประสานคนอื่นได้ เขาและหัวหน้าพรรค (อภิสิทธิ์) รู้จัก วีระชัย มาเป็น 10 ปี และคิดว่าคนอย่างนี้ ควรนำมาช่วยหัวหน้าพรรค และช่วยงานในพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับ วีระชัย วีระเมธากุล คุณสมบัติส่วนตัวผ่าน แต่ความเป็น "เขยซีพี" และความเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยกับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่ทำให้เขาเหมือนทองที่หมองราศรี
อภิสิทธิ์ 1 ศึกษาบทเรียนรัฐบาล "ขิงแก่"

รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีบทเรียนให้ต้องศึกษา เพื่อจะไม่ได้เดินซ้ำรอยการเมืองเก่านั่นคือการศึกษาการดำรงอยู่ และความเป็นไปของ รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือรัฐบาล "ขิงแก" ที่มีที่มาจากทหาร ทำรัฐประหารรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร (19 ก.ย. 2549) จากนั้น ทหารคมช.ก็ตั้งรัฐบาล ตั้งสนช. และตั้งส.ส.ร.

ขณะที่ที่มาของการตั้งรัฐบาล อภิสิทธิ์ 1 ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า "พลังสีเขียว" ได้เข้ามามีส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนขั้นกันขึ้น

นี่เองที่เป็นที่มาของฉายานาม "หล่อลายพราง"

เหตุผลก็คือ อภิสิทธิ์ แม้จะมีความโดดเด่นในตัว แต่ด้วยวัยวุฒิที่ยังน้อย ทำให้ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประคองซ้ายขวาโดยพี่เลี้ยง "ฝ่ายบู๊" คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค พี่เลี้ยง "ฝ่ายบุ๋น" คือ ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์

ยิ่งการตั้งรัฐบาล อภิสิทธิ์ 1 มีการจับภาพของนักการเมืองหลุ่มหนึ่งได้เข้าพบปะหารือกับนายทหารระดับสูง ในค่ายทหาร ก็ตอกย้ำว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรี ของอภิสิทธิ์ มิได้มาด้วยการกำชัยชนะหลังเลือกตั้ง แต่ได้มาในขยักที่สอง หลังจากพรรคเสียงข้างมากอันดับหนึ่ง (พลังประชาชน) ล้มเหลวในการบริหารราชการ (นายกฯสมัคร สุนทรเวช และนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์) ก็ย่อมจะต้องเปิดโอกาสให้แก่พรรคลำดับรองลงมาจัดตั้งรัฐบาล

ภาพของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีลายพรางติดตัว ซึ่งจะต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะสลัดคราบลายพรางนั้นออกจากตัวได้หรือไม่

ส่วน รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมีคณะรัฐมนตรีที่มาจากหลายส่วนผสม ไม่ว่าจากคณะรัฐประหาร (คมช.) มาจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้อีกนั่นแหละว่านี่คือการต่างตอบแทนตำแหน่งกัน

นอกจากนั้น การต่างตอบแทนของคณะรัฐบาลขิงแก่ และทหาร คมช. ยังปรากฎได้จากการเลือกบุคคลเข้าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

การทดแทนตำแหน่งกันยังปรากฎใน บอร์ดรัฐวิสาหกิจคณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบอร์ดการท่าอากาศยาน บอร์ดทีโอที และอีกหลายต่อหลายบอร์ดที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล
รัฐบาลอภิสิทธิ์ กับ"วังวนแห่งอำนาจ"

การเปลี่ยนแปลงการเมือง ด้วยการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ "ขั้วอำนาจ" ในหลายๆ จุดจะต้องเขย่ากันใหม่ โดยเฉพาะเป็นธรรมเนียมเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ข้าราชการที่โดนโยกย้ายไม่เป็นธรรม ข้าราชการที่โยกย้ายมาเพื่อรับใช้การเมืองซีกอดีตรัฐบาล รวมถึงบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็มีอันต้องถึงคราวเปลี่ยนตัวด้วย

ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศ "พักรบ" ชั่วคราว และให้โอกาสรัฐบาล ได้ทำงานพิสูจน์ฝีมือ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ในฐานะการเมืองนองสภา หรือการเมืองภาคประชาชน

พันธมิตร แม้ประกาศถอย แต่เป็นการถอยอย่างไว้เชิง เหมือนช่วงแรกที่พันธมิตร ถอยในห้วงแรกของการตั้งรัฐบาล "ขิงแก่"

แต่พันธมิตรก็ประกาศว่าพร้อมที่จะกลับคืนมาชุมนุมอีกครั้ง หากเงื่อนไข 13 ข้อไม่ได้รับการตอบสนองหรือมีการบิดพริ้วจากรัฐบาล

อีกด้านของฟากความคิด กลุ่มคนเสื้อแดง แม้ประเมินว่าพวกเขามีจำนวนไม่มาก แต่ศักยภาพ หรือวิถีปฏิบัติการจากเหตุการณ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วันที่ 15 ธันวาคม 2551 นั้นถือว่าพวกเขาไม่ได้เน้นที่จำนวน แต่เน้นประสิทธิภาพการทำลายล้างมากกว่า

ดังนั้น การใช้อำนาจของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 จึงจำต้องระมัดระวัง บางครั้งอาจจะไม่ต้องเล่นเอง

โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะต้องเขย่าอำนาจกันใหม่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือข้าราชการรายแรกที่อยู่ในเกมโยกย้ายเพื่อเขย่าเปลี่ยนอำนาจ และหากแม้ไม่ย้ายในเดือนมกราคม นี้ ก็ต้องมีการโยกย้ายเดือนเมษายน อีกระรอกหนึ่ง

นอกจากนั้น ข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย ก็อยู่ในข่ายของการปรับย้ายในครั้งนี้ด้วย ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ที่มาตามสายการบังคับบัญชาของซีกการเมือง ก็เป็นอีกหลายคนที่จะต้องโดนย้ายเพราะปรับสมดุลอำนาจใหม่

โดยส่วนหนึ่งของการปรับย้ายข้าราชการในครั้ง นี้ รัฐบาลอาจจะไม่ต้องลงมือเอง เพราะเท่ากับการ "เปิดหน้าสู้" มากเกินไป

ดังนั้น รัฐบาลสามารถจะฉวยจังหวะรอเวลาการชี้มูลหลายเรื่องหลายประเด็นของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ว่ากันว่าจะมีคณะรัฐมนตรี หลุดจากตำแหน่งไปหลายคน (คดีเขาพระวิหาร และคดีสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลา ซึ่งนายกฯ ต้องการปรับครม.ที่มีรอยด่างออกไป) และยังมีข้าราชการตำรวจอีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องสังเวยเลือด และชีวิตของประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม

กระนั้นในกระบวนการขับเคลื่อนทางการเมืองของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ในขณะทางหนึ่งก็มิอาจลืมเลือนว่า สภาพการแห่งกายภาพใน “สถานการณ์เฉพาะหน้า” ที่ส่วนหนึ่งเป็นทั้งจาก “ผลพวง”มาจากรัฐบาลที่แล้ว หรือจากปัจจัยความเป็นไปของประเทศในมิติ “ความขัดแย้ง”ของคนในชาติซึ่งขยายลุกลามออกมาจาก “ความคิดความเห็น”และ “ผลประโยชน์”ทางการเมืองของ “กลุ่มอำนาจ”ต่างๆ ในห้วงระหว่างปี ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ที่สิรินับรวม นายกฯได้ถึง ๓ คน (สมัคร สุนทรเวช,สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)ไม่นับรวมนายกฯรักษาการ

แน่นอน “สถานการณ์เฉพาะหน้า”ที่เป็น “ปัญหา”เหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งท้าทายรัฐบาลในการเข้าจัดการ ภายใต้แรงกดดันเสียดทานเร่งเร้าให้แกว่งไกวจาก “กลุ่มการเมือง”ทั้งในและนอกสภา ทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏตนโดยเปิดเผย..

ขณะเดียวกัน “ภารกิจ”(กู้ชาติ)ภายใต้ “สัญญา”(จัดการกับ “ทักษิณ”)และ “เงื่อนไข” (พันธมิตรฯ)ก็เป็นอีกปัจจัยแห่งแรงเสียดทานที่ซุ่มซ่อนรอคอยการสำแดง จากทั้ง “ภายใน” (กลุ่มภายในพรรค,กลุ่มเพื่อนเนวิน,พรรคร่วมรัฐบาล) และ “ภายนอก”(พันธมิตรฯ,นปช.,ต่างประเทศ,ปัจจัยเศรษฐกิจ) ในโมเดลที่คล้ายห้วงยุคสมัยของรัฐบาลของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ที่แม้จะมี “บทเรียน” เพื่อนำมาแก้ไขในสภาพความต่าง ที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ไม่ได้อยู่ในสภาพรัฐบาล ๒ นายกฯ(พล.อ.สุรยุทธ์กับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.)เช่นรัฐบาลหลังการรัฐประหาร ของ “พล.อ.สุรยุทธ์” แต่อย่าลืมว่า “เงื่อนไข”ใน “ตัวแปร”ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” นั้นจะมีความซับซ้อนที่มากกว่า

โดยเฉพาะเป็น “ความซับซ้อน” ที่มีผล ทำให้เกิดสภาวะการ “ยากต่อการควบคุม” ได้ตลอดเวลา กับความหลากหลายกลุ่มประโยชน์ และกลุ่มการเมืองที่เข้ามารวมอยู่ในที่เดียวกัน ภายใต้การตรวจสอบควบคุมที่เข้มข้นมากกว่าในอดีต และภายใต้ “กรอบ”ที่รัฐบาลโดย “นายกฯอภิสิทธิ์”ตั้งไว้เพื่อเป็น “เกราะ”กับ “๙กฎเหล็ก” ที่เมื่อผนวกเข้ากับ “๑๓กรอบ”ที่ แกนนำพันธมิตรฯประกาศไว้สำหรับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในทางกลับกัน ก็ยิ่งเป็นคล้าย “อานัติสัญญา” ที่ผูกมัดทั้งมาตรฐานและการประเมินผลรัฐบาลของประชาชน ในการเคลื่อนรัฐนาวาลำนี้ไปในหนทางที่ ณ ภาพที่เห็นตรงหน้า คล้ายเป็นเส้นทางที่สวยงามไร้เกาะแก่งสันดอนหรือหุบเหว ที่ต่างจากรัฐบาลของ “สมัคร สุนทรเวช”ที่เห็นชัดถึง หลุมพราง กับดัก และดงระเบิด ในรายทาง

หาก “รัฐบาลอภิสิทธิ์”แต่กลับคล้ายเหมือนใน “รัฐนาวาสุรยุทธ์”ที่หนทางสวยงาม ดุลแห่งอำนาจทั้งกองทัพ(๔ เหล่า ๓ ทัพ) และ พันธมิตรฯและกลุ่มทุน เปิดรับสนับสนุน ที่ก็ต้องรอคอยวันพิสูจน์ต่อไปว่า แต่เมื่อเดินเข้าไปสู่เส้นทางกจะเผชิญ “กับดัก”และหลุมพรางมากมายภายใต้ปัจจัยที่ “ยากควบคุม”ข้างต้นแบบที่รัฐบาลสุรยุทธ์ โดนมาก่อนหรือไม่

เพราะในสภาพ “สัญญาณ”ที่ปรากฏเพียงแค่การขยับออกตัวของรัฐบาลก็เริ่มเห็นเค้าลางที่ไม่น่าไว้วางใจบางประการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์จาก “ภายใน”ของพรรคประชาธิปัตย์ และจากแรงกระเพื่อมผ่านไปสู่พันธมิตรฯและความท้าทายต่างๆผ่านรัฐมนตรีสายพันธมิตรฯอย่าง “กษิต ภิรมย์”รัฐมนตรีต่างประเทศ (ที่ทำให้หลายคนอดนึกไปถึง “ธีรภัทร เสรีรังสรรค์”ไม่ได้)

ที่สุดแล้วในสภาพการณ์ที่คล้ายเหมือนอดีตดังกล่าวของรัฐบาล แน่นอนในชีวิตจริงใครต่อใครตั้งแต่ “นายกอภิสิทธิ์”คงมิอาจสลัดหลุดจากภาพ “หล่อลายพราง”ไปได้ กับที่มาและที่ไป ที่เชื่อมโยงและผนึกแน่นกับภาพของกองทัพในความเป็นเอกภาพและสนิทชิดเชื้อ เฉกเช่นรัฐบาลขิงแก่ ของ “พล.อ.สุรยุทธ์”แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัจจัยการเสื่อมถอยหรือสิ้นสภาพอำนาจรัฐของรัฐบาลเพราะหลายคนยังเชื่อว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะรักษา “สมดุล”แห่งอำนาจตรงนี้ได้ และแม้กระทั่ง “ปัจจัยตกกระทบ”จาก “มวลชน”ฝ่ายตรงข้าม(เสื้อแดง)ก็อาจไม่ใช่ปัญหาหลัก

ทว่าประเด็นสำคัญของปัญหากลับอยู่ที่ “ปัจจัยแทรกซ้อนภายใน”(คนกันเอง) อันเนื่องมาจากความหลากหลายทางพันธุกรรมผลประโยชน์ในรัฐบาล(กองกำลัง+ทุน+มวลชน+สื่อ+นักการเมือง)ที่พร้อมพลิกข้างเปลี่ยนขั้วไปตาม “เงื่อนไข”และวิถีแห่ง “ผลประโยชน์” ที่จะส่งผลกระทบกับรัฐบาล ทำนอง “ศึกนอกจบ..รบกันเองภายใน”และสิ่งเหล่านี้จะลุกลามกินลึกและทำลายตัวรัฐบาลไปเรื่อยๆเอง(หากไม่แก้ไขหรือรักษาสมดุลให้ได้..ซึ่งยากมาก)โดยที่ “ฝ่ายตรงข้าม”เพียงแค่ยืนดูและเข้ามา(แทรกซ้อน)เก็บผล ผลักรุนร่างกายที่ไร้วิญญาณคล้ายซากศพให้ล้มลง..สุดแต่ว่าระยะเวลาจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็เท่านั้น.

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

เปิดเว็บไซต์"ทักษิณ"จ้างล็อบบี้ยิสต์ถล่มไทย


เว็บไซต์ OpenSecrets.org
โดยโครงสร้างการทำงานของ OpenSecrets.org มีสามลักษณะสำคัญ คือ nonpartisan, independent และ nonprofit. "ไม่เกี่ยวพันกับพรรคการเมืองใด เป็นอิสระและไม่แสวงหากำไร"

ดังนั้น OpenSecrets.org จึงเป็นหนึ่งในกลไกเอกชนอิสระของสังคมประชาธิปไตยที่ตรวจสอบรายละเอียดของการใช้จ่ายเงินของนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ทั้งที่กฎหมายบังคับให้ต้องเปิดเผยกับที่มีทีมทำงานเพื่อขุดคุ้ยเบื้องหน้าเบื้องหลังของการใช้เงิน

เว็บไซต์ OpenSecrets.org ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ทำหน้าที่สร้างภาพลักษณ์ และดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของตัวพ.ต.ท.ทักษิณ

โดยข้อมูลที่เปิดเผย คือ

บริษัท Baker Botts LLP (80,000 เหรียญ หรือประมาณ 2.8 ล้านบาท)

และบริษัท BGR Holding (920,000 เหรียญหรือ 32 ล้านบาท)

เว็บไซต์ OpenSecrets.org จะมีรายละเอียดของการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์สหรัฐ ในทุกแง่มุมรวมทั้งคนว่าจ้างที่ชื่อ Thaksin Shinawatra และบริษัทสหรัฐฯ ที่ได้รับเงินจากอดีตนายกฯ ไทยคนนี้เพื่อทำการ "lobby" ให้เป็นการส่วนตัว