วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไทย

ตลอดระยะเวลา 60 ปี พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง ทรงคอยชี้แนะนำทางให้คนไทยก้าวเดินอย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นดั่งแสงสว่างแห่งชีวิตเสมอมา เบื้องหลังความสุขของอาณาประชาราษฎร์ คือการทรงงานโดยไม่มีวันหยุดของพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์นี้

นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ปัญหาต่าง ๆ มากมายของประเทศไทย ทำให้ต้องทรงงานหนักราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งทุกวันนี้ วันที่ทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษาแล้วก็ตาม ธรรมแห่งพระราชายังคงดำรงมั่นเช่น 60 ปีที่ผ่านมา

แม้ไม่ได้เตรียมพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ แต่ธรรมแห่งพระอัจฉริยะภาพอันสมเด็จพระราชชนนี ทรงสั่งสอนสั่งสมเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่แก่แผ่นดิน

พระราชภาระแห่งพระราชา ทำให้ทรงหันมาศึกษาศาสตร์ ทางสังคมวิทยา และการปกครอง และศาสตร์ทั้งปวงนี้ทรงนำมาเป็นหลักปกครองแผ่ไปทั่วขอบขันธสีมา และไพศาลสู่สากลประเทศในเวลาต่อมา
พระราชาผู้ทรงสั่งสมความสมถะ ความมีเหตุผล ทศพิธราชธรรม และความเป็นพหูสูต จากสมเด็จพระราชชนนี มาแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงรับ
เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องขัตติยราชวราภรณ์ เครื่องขัตติยราชูปโภค และพระแสงราชศัตราวุธ รับพระราชภาระแห่งประมุขของแผ่นดินสยาม บรมกษัตริย์พระองค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

ยามนั้นประเทศที่กำลังยากจน มีผืนดินถูกทำลาย มีสายน้ำที่ขาดหาย มีโรคภัยคุกคาม มีราษฎรยากไร้ มีมากมายปัญหา หัวใจแร้นแค้นหลายล้านดวงพุ่งตรงสู่ความหวังแห่งพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ และครั้งนั้น ในท่ามกลางมหาสมาคม ทรงเปล่งพระธรรมิกราชวาจา เป็นพระปฐมบรมราชโองการ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ต่อมา วิธีการที่ทรงแก้ปัญหาทุกปัญหาถือเป็นศาสตร์ที่เราคนไทยควรได้ศึกษา

ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ทุรกันดาร จะมีแพทย์หลวงตามเสด็จเพื่อรักษาพระบรมวงศานุวงศ์ที่ตามเสด็จ แต่ภาพความเจ็บป่วยของราษฎร ที่ปรากฎเบื้องพระพักตร์ทำให้มีพระราชประสงค์ให้แพทย์หลวง หันไปเยียวยาประชาชนของพระองค์ ต่อมาทรงพบผู้เจ็บป่วยเฝ้ารอรับเสด็จเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพระราชทานหน่วยแพทย์ต่าง ๆ มีผู้ป่วยหนักผู้พิการ กลายเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง กล่าวว่า ดอยบางแห่งคนธรรมดาไปไม่ได้เพราะอันตราย คนที่ไม่สบายที่โน่นก็ลำบากไม่มีหมอไป ทรงตั้งหน่วยแพทย์พระราชทานขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาชาวบ้าน

ความเจ็บป่วยของราษฎร ทรงบันทึกไว้ในพระบรมราชวินิจฉัย ว่า ส่วนใหญ่มาจากสาเหตุหลักคือราษฎรขาดความรู้ด้านสาธารณสุข ตั้งแต่โภชนาการและการรักษาเบื้องต้น กลายเป็นต้นเค้าโครงการหมอหมู่บ้านในพระราชประสงค์

นอกจากนี้ แผ่นดินไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ความจริงได้ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์ ว่า ความยากจนสยายปีกอยู่ทั่วไป

“เราต้องตอบแทนความรักของประชาชนด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบำบัดความทุกข์ของเขาจึงตัดสินพระทัยว่าการจะเสด็จไปไหน ๆ แล้วแจกผ้าห่ม แจกเสื้อผ้า เป็นการถมมหาสมุทร อย่างไรก็ช่วยไม่ได้หมด ทางที่ดีรับสั่งว่า ต้องลงไปสอบถามว่า ความทุกข์ของเขาอยู่ที่ไหน เพราะเหตุใดจึงอดอยากเหตุใดข้าวจึงไม่ได้ผล”

(พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2526)

20 ปีให้หลังเมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลให้ความสำคัญในการโดยเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทำงานช่วยเหลือราษฎรถวายอย่างเป็นรูปธรรม
พล.อ.เปรม จึงให้ตั้งคณะกรรมการประสานงานพิเศษอันเนื่องมากจากโครงการพระราชดำริ

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงงานต่อเนื่องแม้จะดึกดื่นเพียงใดแผนที่ผืนใหญ่ยังทรงกางอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เพื่อถวายรายงานเรื่องราวบนแผ่นดิน ความเชี่ยวชาญส่วนพระองค์ทำให้ทรงทอดพระเนตรได้มากกว่าคนทั่วไป และนี่คือปฐมบทแห่งการเสด็จพระราชดำเนินสู่ดินแดนทุรกันดารของประเทศ

ปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ระบุว่า “แฟ้มที่เห็นนั่นคือแฟ้มข้อมูลหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านในอาณาจักร จะบอกว่าอาณาบริเวณนั้นมีสภาพพื้นที่เป็นอย่างไร พระองค์ท่านจะทรงวิเคราะห์ด้วยแผนที่” เมื่อเสด็จถึงที่ทรงงานจริง ได้ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์ และพระองค์ทรงสอบถามข้อเท็จจริงและพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรของพระองค์ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

11 นักการเมือง-ขรก.พันทุจริตรถ-เรือดับเพลิง

ป.ป.ช.เตรียมชี้มูลทุจริตรถ-เรือดับเพลิง พบนักการเมือง-ขรก.มีเอี่ยว 11 ราย "สมลักษณ์" ระบุ "อภิรักษ์" ต้องพักงานทันที หากปปช.มีมติผิดจริง จนกว่าศาลฎีกาฯจะพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.วันที่ 11 พ.ย.นี้ ป.ป.ช.จะพิจารณาชี้มูลสำนวนคดีทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,800 ล้านบาท หลังจากที่คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าวที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน ได้สรุปสำนวนคดีว่า มีนักการเมือง และข้าราชการตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว จำนวน 11 คน ประกอบด้วย

นายโภคิน พลกุล อดีตมหาดไทย
นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย
นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตเลขานุการรมว.มหาดไทย
นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตผู้ว่าฯ กทม.
พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผอ.สำนักป้องกันสาธารณภัย กทม.
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.
คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร
นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
นายมาริโอ มีน่าร์ ผู้แทนบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเซียลฟาย์ซอย์ เอจี แอนด์ โค เคจี
และบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเซียลฟาย์ซอย์ เอจี แอนด์ โค เคจี ในฐานะคู่สัญญากับกรุงเทพมหานคร


นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ในวันที่ 11 พ.ย. ที่ประชุม ป.ป.ช.จะมีการชี้มูลสำนวนคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง ของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,200 ล้านบาท ตามที่คตส.ส่งเรื่องมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการ โดยการพิจารณาคดีนี้ป.ป.ช.จะพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทีละรายว่า มีความผิดหรือไม่อย่างไร เมื่อถามว่าหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์แล้ว ตามกฎหมายนายอภิรักษ์จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันทีเลยหรือไม่ นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะจะต้องหารือกันในที่ประชุมเกี่ยวกับข้อกฎหมายก่อน

น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า หากในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. มีความผิดข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ กรณีรถดับเพลิงกทม. นายอภิรักษ์ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ทันที จนกว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาออกมา ตามมาตรา 55 ของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีนี้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากตำแหน่งที่นายอภิรักษ์ถูกกล่าวหา กับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันเป็นตำแหน่งเดียวกัน คิดว่า ในวันที่ 11 พ.ย. ป.ป.ช.จะสามารถชี้มูลคดีนี้ได้ และส่วนตัวมีคำตอบเรื่องนี้อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันว่า แม้คดีนี้จะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหลายคน แต่ไม่รู้สึกหนักใจ หรือกดดันในการทำงาน เพราะปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีใครวิ่งเต้นเกี่ยวกับคดีนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงมติชี้มูลคดีนี้ ป.ป.ช.จะมีมติเป็นเอกฉันท์เหมือนคดีอื่นๆที่ผ่านมาหรือไม่ น.ส.สมลักษณ์ ตอบว่า ไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาสำนวนและการตัดสินใจของกรรมการป.ป.ช.แต่ละคน อย่างไรก็ตามการชี้มูลความผิดกรณีนี้ จะใช้เสียงข้างมาก 5 ใน 9

เมื่อถามว่าประเด็นของนายอภิรักษ์นั้น ป.ป.ช.จะต้องถกเถียงและตีความกฎหมายกันมากเป็นพิเศษหรือไม่ น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า อาจจะเป็นเช่นนั้น เพราะนายอภิรักษ์ได้ยื่นเอกสารหลักฐานชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติหน้าที่และการทำสัญญา มายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลังจากที่อนุกรรมการไตสวนข้อเท็จจริงได้สรุปสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว แต่มั่นใจว่าในการประชุมวันที่ 11 พ.ย.นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะสามารถลงมติชี้มูลคดีดังกล่าว

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมที่จะชี้มูลความผิดคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม.ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ว่า ยังไม่ขอแสดงความเห็น ต้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาตามกระบวนการกฎหมายก่อน ส่วนผลการวินิจฉัยจะออกมาเป็นอย่างไร ก็พร้อมที่จะเคารพ ซึ่งตนเคารพในกระบวนการยุติธรรมและเชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่านายอภิรักษ์จะเป็น 1 ใน 11 คนที่จะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบ ตนไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดใดๆ

ต่อข้อถามว่า หากถูกชี้มูลความผิดจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเลยหรือไม่ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า คงต้องรอดูผลการหารือของ ป.ป.ช. และข้อสรุปอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้ตอบอะไรไม่ได้

ด้านนายวิสูตร สำเร็จวาณิชย์ ส.ก.เขตลาดกระบัง พรรคพลังประชาชน ระบุว่า หากนายอภิรักษ์ถูกชี้มูลความผิดในคดีนี้ ก็ต้องยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.ทันที เพื่อแสดงสปิริตของผู้บริหาร รวมไปถึงทีมรองผู้ว่าฯกทม. คณะที่ปรึกษา ที่นายอภิรักษ์แต่งตั้ง ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปพร้อมกัน ส่วนการรักษาราชการนั้น ต้องให้เป็นหน้าที่ของนายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัด กทม. จะให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งที่มีตำแหน่งในคณะผู้บริหารฝ่ายการเมืองมาปฏิบัติหน้าที่แทนไม่ได้ เพราะถือว่าผิดระเบียบ

รัฐงัดก๊อกสองทำประชามติบีบแก้รธน.

ประธานวิปรัฐบาล เผยสามารถยืนยันยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญทันสมัยประชุมนี้ ส่วนจะพิจารณาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับองค์ประชุม บีบวุฒิสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.ประชามติ หวังเป็นอีกช่องทางทำประชามติสอบถามประชาชนว่าควรแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้าน "ชัย" ระบุหากพันธมิตร ปิดล้อมสภาวันญัตติแก้รัฐธรรมนูญ เขาพร้อมเลื่อนการประชุม ขณะที่ลูกพรรคมัชฌิมาธิปไตย เสียงแตกค้าน แก้ม.291 หวั่น ไม่ครบองค์ประชุม เหตุส.ส.กลัวโดนปิดล้อม แนะนำเข้าสภาสมัยประชุมหน้าให้ปชป.-พันธมิตร ร่วมส.ส.ร.3 ด้วย

นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล เปิดเผยวานนี้ (10 พ.ย.) ว่า ภายหลังการเข้าพบหารือกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร ได้หารือถึงการบรรจุญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 291 โดยเรื่องการยื่นญัตติไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่อยู่ที่ความเหมาะสมในการนำญัตติดังกล่าวมาพิจารณา ซึ่งส่วนตัวเขาเห็นว่าควรให้ผ่านพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไปก่อน จะเหมาะสมกว่า แต่ยืนยันว่าจะยื่นญัตติในสมัยประชุมนี้

นายวิทยา กล่าวด้วยว่า สมาชิกรัฐสภาบางส่วน มีความเห็นว่าควรทำประชามติ รับฟังความคิดเห็นประชาชนก่อน ซึ่งร่างกฎหมายประชามติ อยู่ในขั้นการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งประธานรัฐสภาประสานไปยังวุฒิสภาให้เร่งพิจารณาแล้ว หากกฎหมายประชามติผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา อาจมีการนำเรื่องนี้ไปทำประชามติก่อน

ส่วนกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเคลื่อนมาปิดล้อมรัฐสภา หากมีการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น นายวิทยา กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกรัฐสภา หากเห็นว่าควรมาประชุมสภาฯ ก็มา ไม่ควรมาก็ไม่ต้องมา เพราะหากองค์ประชุมไม่ครบย่อมจะเปิดประชุมไม่ได้ ไม่ต้องให้ใครมาปิดล้อมทั้งนั้น

ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสมาชิกรัฐสภาว่าจะมีการประชุมรัฐสภาในวันที่ 24 พ.ย. เพื่อพิจารณารับทราบข้อตกลงระหว่างไทย-เกาหลี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลเสนอมา ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครเสนอเรื่องมาถึงเขาเพื่อให้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม และเขาไม่ได้นัดหารือกับประธานวิปรัฐบาลตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากมีการเสนอญัตติเข้ามาในสัปดาห์นี้คงไม่สามารถบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมวันที่ 24 พ.ย.นี้ เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้เวลาประมาณ 7 วัน โดยหากญัตติไม่ถูกต้องจะต้องคืนกลับไป ส่วนที่จะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ทันสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติซึ่งมีกำหนดปิดสมัยในวันที่ 28 พ.ย.หรือไม่นั้น เขาไม่มีความเห็นเพราะเป็นเรื่องของสภาและประธานสภาต้องวางตัวเป็นกลาง

"ผมมั่นใจว่าจะไม่มีการเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมสภาภายในสัปดาห์นี้ เพราะผมนอนหลับฝันแล้วเห็นว่าจะไม่มีการยื่นญัตติแน่นอน"

ผู้สื่อข่าวถามที่ว่าพันธมิตร ขู่ว่าหากพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมาปิดล้อมรัฐสภาอีก นายชัยกล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นคงมีทางเดียวคือต้องเลื่อนการประชุมออกไปตามข้อบังคับที่ 8 เรื่องการควบคุมการประชุม แต่เขาไม่ได้รู้สึกวิตกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะสภามีหน้าที่พิจารณากฎหมายขณะที่ประธานสภามีหน้าที่พิจารณาบรรจุระเบียบวาระการประชุม

ด้านนายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคมัชฌิมาธิปไตย ในฐานะวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายชัย เรียกนายวิทยา บูรณศิริ เข้าพบซึ่งตัวเขาก็เข้าร่วมด้วยว่า เป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการเรื่องการจะบรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาฯในวันที่ 12 พ.ย.นี้ ว่าจะนำเรื่องการแก้ไข มาตรา 291 เพื่อให้มีการตั้งส.ส.ร. 3 หรือไม่ เพราะนายชัยต้องการจะตกลงว่าจะนำ มาตรา 291 เข้าประชุมสภาฯ ในวันที่ 12 พ.ย.นี้หรือไม่

ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่าการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อตั้งส.ส.ร.3 เป็นเรื่องจำเป็น แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ควรจะมีการชะลอออกไปก่อน เพราะยังมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ เขาได้คุยกับส.ส.ทั้งพรรครัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลหลายคนคัดค้านเพราะอยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของประชาชนก่อน เพราะประชาชนเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลมัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องทะเลาะกันทั้งส.ส.และส.ว.

"การตั้งส.ส.ร.3 ผมอยากให้ทุกภาคส่วนตามระบอบประชาธิปไตยได้มีส่วนร่วมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตร และภาคนักวิชาการด้วย เพื่อนำความเห็นจากทุกฝ่ายมาตกผลึก และให้การตั้งส.ส.ร.3 มีความสมบูรณ์ เพราะหากมีแต่ฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แม้จะตั้งส.ส.ร.3 ขึ้นมาปัญหาก็จะไม่มีวันจบ และหากมีการนำเข้าสภาฯในปลายสมัยประชุมนี้ก็อาจจะเกิดปัญหาว่ากลุ่มพันธมิตร จะมาปิดล้อมสภา ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้องค์ประชุมไม่ครบ เพราะส.ส.อาจจะไม่มาเข้าร่วมประชุม เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายได้ และอาจจะส่งผลให้ร่างแก้ไข มาตรา 291 ไม่ผ่าน และหากมีการประชุมเรื่องนี้ ผมคิดว่าจะไม่มีการโหวตสวนมติหรือคว่ำร่างแน่นอน แต่ส.ส.อาจจะหลบเลี่ยงด้วยวิธีการไม่มาเข้าร่วมประชุมแทน ซึ่งผมเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องนี้"

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น3ส่อแท้งสธ.เบรกเหตุไม่มีงบ

ศธ.ชะลอโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 3 ชี้แหล่งเงินใช้ในโครงการยังไม่ชัดเจน
ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 3 ว่า ขณะนี้รอเพียงแหล่งเงินทุนที่ชัดเจนเท่านั้น เนื่องจากเราไม่สามารถใช้งบประมาณปกติมาดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม ได้บอกแต่ต้นแล้วว่าหากแหล่งเงินพร้อมเมื่อใด ทาง ศธ.ก็พร้อมจะดำเนินการรับสมัครผู้กู้รุ่นที่ 3 ทันที แต่ในระหว่างนี้ ยังไม่สามารถหาแหล่งเงินมาได้ เพราะฉะนั้น ปฏิทินการรับสมัครที่กำหนดไว้ในช่วงเดือน พฤศจิกายน นั้น จำเป็นจะต้องเลื่อนออกไปก่อน จนกว่า จะมีความชัดเจนเรื่องแหล่งเงินที่จะนำมาใช้อัดฉีดโครงการ
อนึ่ง ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 3 จะมีจำนวนทุนรวมกว่า 1,000 ทุน ซึ่งมีทั้งทุนสายสามัญและสายอาชีวศึกษา ซึ่งคุณสมบัติผู้สมัครสายสามัญเป็นนักเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า (รวมทั้งผู้จบ กศน.ด้วย) ในปีการศึกษา 2551 เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 และสายอาชีวศึกษาซึ่งเพิ่มให้รุ่นนี้เป็นรุ่นแรก จะได้รับทุนประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนทุนทั้งหมด โดยเป็นผู้จบ ปวช.ทุกสังกัด เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.75 และต้องเลือกศึกษาในสาขาที่กำหนดตามความต้องการของประเทศ 8 สาขาคือ 1)ยานยนต์ 2)ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 3)บริการและโลจิสติกส์ 4)ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้า และเครื่องคอมพิวเตอร์ 5)ของใช้ในครัวเรือนส่วนตัวและเวชภัณฑ์ 6)เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 7)แฟชั่น-สิ่งทอ และ 8)คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกศึกษาต่อได้ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ
สำหรับการดำเนินการรุ่นที่ 3 จะรับสมัครและตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551- มกราคม 2552 สอบข้อเขียนปลายเดือนมกราคม2552 สอบสัมภาษณ์เดือนมีนาคม 2552 และคาดว่าจะประกาศรายชื่อได้ในเดือนมีนาคม 2552 หลังจากนั้นจะมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษา วัฒนธรรม คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อีกประมาณ 8 เดือน ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ

สตง.พบโรงเรียนในฝันสร้างหนี้เกินตัว

ผลการตรวจสอบการดําเนินงานโครงการหนึ่งอําเภอหนึ่งโรงเรียนในฝันสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการการแสวงหาทุนทรัพย์เพิ่มขึ้นบางโรงเรียนมีการใช้จ่ายเงินสูงกว่ารายรับทําให้เกิดภาระหนี้สิน และบางโรงเรียนต้องนําเงินอุดหนุนรายหัว ซึ่งเป็นเงินที่โรงเรียนใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการประจําปีของโรงเรียนมาใช้ชําระหนี้สินจากการดําเนินงานตามโครงการฯ อาจเป็นผลให้โรงเรียนไม่สามารถดําเนินการจัดการเรียนการสอนตามแผนปกติได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ปัญหาอุปสรรคในการบริหารจัดการคอมพิวเตอร์
สํานักงานตรวจสอบการดําเนินงานที่ 2 สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงาน โครงการหนึ่งอําเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน เป็นเจตนารมณ์ที่ต้องการเร่งรัดปฏิรูปการศึกษาในด้านการสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในชนบทได้รับการศึกษาที่ดีในโรงเรียนที่มีคุณภาพและมาตรฐานในท้องถิ่นใกล้บ้าน โครงการฯ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบ จากคณะรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2546 โดยได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 2,369.19 ล้านบาท และได้รับเงินสนับสนุนจากผู้อุปถัมภ์และชุมชน จํานวน 1,110.01 ล้านบาท หลักเกณฑ์ของโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่ มีความพร้อมโดยชุมชนพิจารณาแล้วเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นโรงเรียนในฝัน แล้วส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดให้มีระบบการเรียนการสอนที่ดี อุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน มีห้องสมุด การใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีการปรับวิธีการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความสามารถคิดวิเคราะห์ ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมซึ่งจะทําให้โรงเรียนสามารถพัฒนาคุณภาพมาตรฐานทั้งด้านผู้เรียน และโรงเรียนได้เป็นโรงเรียนต้นแบบที่สมบูรณ์ให้แก่โรงเรียนของโครงการฯ ในระยะต่อไป
จากการตรวจสอบผลการดําเนินงานของโครงการฯ พบว่า มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 921 แห่ง จําแนกเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จํานวน 208 546 และ 167 แห่ง ตามลําดับ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้สุ่มตัวอย่างตรวจสอบโรงเรียนในส่วนภูมิภาครวม 9 จังหวัด จํานวน 40 แห่ง ถึงผลที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการฯ โดยตรวจสอบโรงเรียนขนาดเล็ก 8 แห่ง ขนาดกลาง 27 แห่ง และขนาดใหญ่ 5 แห่ง และได้สัมภาษณ์ผู้บริหารและอาจารย์ของโรงเรียนดังกล่าวถึงผลการเปลี่ยนแปลงจากการเข้าร่วมโครงการฯ ส่วนใหญ่ แล้วมีความเห็นว่า โครงการฯ มีประโยชน์ต่อการพัฒนาโรงเรียน โรงเรียนมีระบบบริหารจัดการที่ดีขึ้น การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การนําระบบเทคโนโลยี และสารสนเทศมาใช้ทําให้โรงเรียนมีแหล่งข้อมูลเพื่อศึกษาความรู้ มากขึ้น โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมสะอาด ซึ่งผลการดําเนินงานดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการปรับปรุงโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอุปสรรคบางประการที่ควรได้รับการแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงการฯ ที่ยั่งยืนต่อไป สรุปข้อตรวจพบได้ดังนี้
1. การคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ บางอําเภอยังไม่เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดไว้โดยคณะกรรมการคัดเลือกโรงเรียนหนึ่งอําเภอหนึ่งโรงเรียนในฝันในบางอําเภอใช้วิธีออกเสียงและถือมติเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกโรงเรียนโดยไม่ได้พิจารณาถึงความพร้อม และความเหมาะสมของโรงเรียน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญต่อการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ
2. การพัฒนาระบบบริหารจัดการของโรงเรียนบางแห่งไม่สอดคล้องกับศักยภาพ และความพร้อม
2.1 การศึกษาดูงานจากโรงเรียนต้นแบบที่มีศักยภาพและความพร้อมที่แตกต่างกัน โรงเรียนจึงเกิดความสับสนและดําเนินกิจกรรมตามโรงเรียนต้นแบบทั้งที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพความพร้อม และบริบทของโรงเรียนตนเอง ทําให้สิ่งก่อสร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ในระยะเวลาต่อมา
2.2 การได้รับคําแนะนําในการปรับปรุงโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนบางแห่งก็มีศักยภาพและความพร้อมที่จะดําเนินการได้ แต่โรงเรียนบางแห่งมีศักยภาพและความพร้อมไม่เพียงพอจึงทําให้มีการดําเนินกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของโรงเรียน
3. ปัญหาอุปสรรคในการประชาสัมพันธ์ทําความเข้าใจกับโรงเรียนการสื่อสารทําความเข้าใจระหว่างโครงการฯ กับโรงเรียนในระยะแรกยังมีความสับสนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงโดยร้อยละ 40 ของโรงเรียนที่สุ่มตรวจ มีความเข้าใจว่าโครงการฯ จะให้การสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงโรงเรียนได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพียงบางส่วน โดยโรงเรียนต้องหาผู้อุปถัมภ์และทรัพยากรมาเพิ่มในการดําเนินโครงการฯ นอกจากนี้ โรงเรียนบางแห่งขาดความเข้าใจในแนวทางการดําเนินงานของโครงการฯ ทําให้ภายหลังผเานการตรวจเยี่ยมรับรองเป็นโรงเรียนต้นแบบในฝันแล้วโรงเรียนไม่ ได้ดําเนินการพัฒนาต่อยอดจากรูปแบบของโครงการฯ
4. ปัญหาอุปสรรคในการระดมทรัพยากรจากท้องถิ่น เนื่องจากผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนในด้านต่างๆ แต่ศักยภาพและความพร้อมของโรงเรียนในการระดมทรัพยากรมีความแตกต่างกัน หากเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลและไม่มีผู้อุปถัมภ์ด้านทุนทรัพย์ทําให้โรงเรียนต้องมีภาระในการแสวงหาทุนทรัพย์เพิ่มขึ้น บางโรงเรียนมีการใช้จ่ายเงินสูงกว่ารายรับทําให้เกิดภาระหนี้สิน
5. ปัญหาอุปสรรคในการบริหารจัดการคอมพิวเตอร์ จากการตรวจสอบโรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาที่ได้รับคอมพิวเตอร์จากการจัดสรรของโครงการฯ จํานวน 40 แห่งเฉพาะที่มีข้อมูลจํานวน 31 แห่ง พบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ได้รับคอมพิวเตอร์ ก่อนการประเมินจํานวน 18 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 58.06 โดยได้รับก่อนการประเมิน 6 เดือนขึ้นไป จํานวน 12 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 38.71 และได้รับก่อนการประเมิน 1 - 6 เดือน จํานวน 6 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 19.35 ส่วนโรงเรียนที่ได้รับคอมพิวเตอร์หลังการประเมิน จํานวน 13 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 41.94
สาเหตุเนื่องจากการจัดสรรงบประมาณล่าช้าทําให้การจัดสรรคอมพิวเตอร์ ต้องล่าช้าออกไปด้วย อาจส่งผลให้โรงเรียนบางแห่ง ที่เดิมมีคอมพิวเตอร์น้อย มีเวลาไม่เพียงพอที่จะพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีของนักเรียนทั้งหมดได้ทันต่อการประเมินการเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝัน
นอกจากนี้ยังพบว่าการให้บริการซ่อมบํารุงเครื่องคอมพิวเตอร์ล่าช้ารวมถึงโรงเรียนบางแห่งไม่ได้ใช้สิทธิในการซ่อมแซมฮาร์ดดิสก์ที่ชํารุดเสียหายตามสิทธิที่ควรได้รับเนื่องจากไม่ได้ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันความเสียหายจากผู้ขาย
ผลกระทบ
1. ผลกระทบต่อการดําเนินงานของโครงการฯ สําหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมระดับที่สามารถพัฒนาได้ และเป็นโรงเรียนที่ผู้บริหาร ครู และชุมชน ให้ความร่วมมือในการพัฒนาโรงเรียนภายหลังเข้าโครงการฯ แล้วโรงเรียนมีการปรับปรุงทั้งส่วนของคุณภาพโรงเรียนและนักเรียน ส่วนโรงเรียนที่มีความพร้อมไม่เพียงพอ อาทิเช่น ขาดบุคลากรทางการศึกษาและห้องเรียนมีไม่เพียงพอภายหลังการปรับปรุงโรงเรียนจึงเกิดความไม่ยั่งยืนทําให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐไม่เกิดประโยชน์ เท่าที่ควร
2. ผลกระทบต่อการบริหารจัดการโรงเรียนภายหลังเข้าโครงการฯ โรงเรียนที่มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ารายได้ประกอบกับการได้รับเงินสนับสนุนจากชุมชนไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายทําให้โรงเรียนต้องก่อหนี้สินและบางโรงเรียนต้องนําเงินอุดหนุนรายหัวซึ่งเป็นเงินที่โรงเรียนใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการประจําปีของโรงเรียนมาใช้ชําระหนี้สินจากการดําเนินงานตามโครงการฯ อาจเป็นผลให้โรงเรียนไม่สามารถดําเนินการจัดการเรียนการสอนตามแผนปกติได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน
3. ผลกระทบต่อความยั่งยืนของโครงการฯ ภายหลังการเข้าโครงการฯ โรงเรียนส่วนใหญ่มีภาระค่าใช้จ่ายจากค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งหากไม่มีงบประมาณสนับสนุนอาจเป็นปัญหาต่อความยั่งยืนของโครงการฯ
4. การจัดสรรคอมพิวเตอร์ล่าช้าส่งผลให้ โรงเรียนบางโรงเรียนที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ ต้องยืมคอมพิวเตอร์จากโรงเรียนอื่นๆ หรือจัดหาคอมพิวเตอร์เพิ่มส่งผลให้โรงเรียนมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น
5. การซ่อมบํารุงเป็นไปอย่างล่าช้าไม่ทั่วถึง โรงเรียนจึงใช้งบประมาณของโรงเรียนดําเนินการซ่อมทั้งที่อยู่ในระยะเวลารับประกันความเสียหาย นอกจากนี้โรงเรียนที่ตั้งในเขตพื้นที่ที่ไม่มีศูนย์ซ่อมต้องรอซ่อมจากบริษัทใหญ่จนถึงวันที่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าตรวจสอบก็ยังไม่ได้รับการซ่อม รวมถึงเมื่อชิ้นส่วนภายในเครื่องคอมพิวเตอร์บางชนิดชํารุด โรงเรียนส่วนใหญ่จะซ่อมเอง โดยไม่ได้ศึกษาว่าบริษัทผู้ผลิตมีการรับประกันความเสียหาย 3 ปี จึงทําให้ทางราชการเสียประโยชน์จากการใช้งบประมาณซ่อมแซมชิ้นส่วนดังกล่าว

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เขากำลังทำคือทำ “ความจริง” ให้เกิดจาก “ความเชื่อ”




สัมภาษณ์พิเศษ

นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อจิ๊กซอว์ 1 พฤศจิกา กับสานเสวนา สร้าง “ทักษิณ” เป็นสินค้าที่บริโภคไม่เป็นอันตรายแม้จะปนเปื้อนเมลามีน

งานวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 จัดได้ยิ่งใหญ่มาก แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการมาอย่างดีคล้ายคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเป็น สีสัน การประชาสัมพันธ์ ทำให้หยุดประเทศไทย ได้ ประชาชน ภาครัฐ ในสองสัปดาห์มีแต่ข่าวนี้ จุดชนวนให้น่ากลัว หลากหลายมุม กินพื้นที่ข่าวได้เกือบสองสัปดาห์ และงานที่ออกมาก็ขนาดใหญ่ มากจนทำให้คิดว่านี่ไม่ใช่คอนเสิร์ต และคนที่มา ก็มาจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ในกรุงเทพบางส่วน มีรถรับส่งอย่างดี เป็นที่ทราบจากรายงานของสื่อหลายสำนักตรงกันว่าได้รับเสื้อ 1 ตัวค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยง
ตัวเลขสำหรับการจัดงานไม่น้อยกว่า 200 - 300 ล้านบาท เงินจำนวนมากขนาดนี้เพื่อประสงค์อะไร ลักษณะจัดงานไม่ได้จัดเพื่อต้านรัฐประหาร เป็นการจัดเพื่อเป้าหมายอยู่ที่การเคลื่อนไปตามกระแสที่ “ทักษิณ” พูด เพราะการที่จะจัด ให้คนมาฟัง “ทักษิณ” พูด ๆ เสร็จสลายตัว การลุงทุนมากมายอย่างนี้ เขาต้องการสร้างเสื้อสัญลักษณ์สีแดง ให้เดินกระแสอย่างนี้ต่อไป เพราะฉะนั้น ขอบเขตการลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ไม่เลื่อนลอย
จากการฟังที่พูดแล้ว “ทักษิณ” อ้อนแม่ยกลูกทุ่ง เห็นชัดในเชิงการตลาดชั้นสูง เป้าหมายชัดเจนคือต้องการกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด ไม่อาจรอได้ถึงสิบปี
วิธีการทำก็คือ ทำตามสรุปที่ “ทักษิณ” บอกว่า ขอพึ่งพระบารมี พระเมตตา และพลังของประชาชน คำพูดอย่างนี้เป็นสองวรรค วรรคแรกเพื่อหวังพึ่งพระบารมี และวรรคสองคือพลังประชาชน ทำให้ตีความได้หลายอย่าง ถ้าถามผม ผมมองว่าเป็นการต่อรอระดับสูงมาก ถ้าไม่ได้กลับด้วยวิธีการใด ก็ต้องกลับด้วยวิธีการหนึ่ง
แต่ที่น่าเป็นห่วงประการแรก (การขอพระราชทานอภัยโทษ) การที่จะบรรลุหรือไม่ คดีต้องสิ้นสุดเสียก่อน การจะมารับโทษหรือไม่ ไม่ใช้ข้อสำคัญ การอภัยโทษ ยังมีคดีอื่นๆ ที่กำลังโดนฟ้องอยู่ในศาล การอภัยโทษอย่างนี้เงื่อนไขเป็นไปได้ไหม หากพระราชทานอภัยโทษ เท่ากับคำกล่าวหาที่ “ทักษิณ” เคยออกแถลงการณ์ว่ากระบวนการยุติธรรมของเราใช้ไม่ได้ อย่างนี้ เท่ากับว่า จะไปลบล้างความชอบธรรมการปฏิบัติงานของกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย เท่ากับการรื้อถอนขื่อแป เท่ากับระบบการจัดการทั้งหมดในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดต้องเลิก ถือเอามวลชน ชี้ขาดความถูกความผิด
แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ถ้าต้อใช้วิธีการที่มาจากพลังประชาชน ต้องขยายมวลชนต่อสู้ ต้องใช้มวลชนขนาดใหญ่ ใช้มวลชนกดดันเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ถ้าต่อจิ๊กซอว์ ให้ดีก็จะเห็นว่ามีกระบวนการต่อรองเกิดขึ้นล่วงหน้า ที่กล่าวถึงก็คือ “สานเสวนา” ที่ไม่คำนึงถูก ผิด แต่ขอให้เลิกทะเลาะกัน ต่อรองดำเนินมา 2 สัปดาห์ ก่อนมีการพูดของ “ทักษิณ” มีการเตรียมการเคลื่อนตัวพอสมควรมีกระบวนการรองรับ จากนี้ไปให้จับตาสานเสวนา เพื่อให้บรรลุผลในข้อต่อรอง มีความเป็นไปได้สานเสวนาที่จะเป็นกลไกต่อรอง เคลื่อนไหวมวลชนเพื่อความเข้มข้น
ที่พวกเขากำลังทำคือทำ “ความจริง” ให้เกิดจาก “ความเชื่อ”
สินค้าที่ไม่มีพิษ เปลี่ยนความจริงเป็นความเชื่อให้เป็นสินค้าที่มีประโยชน์ อาศัยกระบวนการสื่อที่สำคัญ มีการควบคุมครอบงำสื่ออย่างกว้างขวางมากขึ้น รายการโทรทัศน์ที่ร่วมหัวจมท้าย โดนปรับออกไป ความปรารถนาคือวิทยุ โทรทัศน์ ใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาว่าเป็นสินค้าดีมีประโยชน์ เมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้ง ความเชื่อจะเกิดขึ้นได้
กลไกทางตลาดทำให้เชื่อว่าเป็นสินค้าที่ตลาดต้องการ ด้วยการคุกคามสื่อที่ไม่ใช่อยู่ในเครือข่ายไม่ให้เสนอข่าว บรรดาสื่อทางเลือกก็จะโดนคุกคามรุนแรง เอเอสทีวี ก็จะโดนบล็อกบางระยะ สื่ออื่นก็จะดึงเข้าสังกัด ผลที่จะตามมาเพื่อให้โฆษณาสินค้าตัวนี้ปรากฎการณ์ทางสื่อ โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะเสี่ยงที่จะได้รับสื่อด้านเดียว จะเกิดการย้อนข่าวมาจากต่างประเทศด้วย การรับรู้ข่าวของประชาชนได้ข้อมูลว่า “ทักษิณ” คือสินค้าดี สินค้าพิเศษมีประโยชน์ คนจำนวนหนึ่ง เมื่อมีหลักวิชาการมาอธิบาย ได้รับข้อมูลจากที่ทำซ้ำ คนจำนวนมากก็จะเชื่อ ไม่สนใจว่า “ทักษิณ” มีสารเมลามีน ปนเปื้อนอีกหรือไม่
ความเชื่อถือจากต่างประเทศ เป้นที่ปรึกษษมีสองประเทส บาฮามาส เบอร์มิวดา มีการปูข่าวนี้เป็นระยะ ช่วงหนึ่งก่อนไม่มีความคืบหน้า อุปนิสัยฉลาดเก่ง บอกเองว่าไฮเปอร์ มีคนใจร้อง วันนี้เห็นแอค่เอื้อม รัฐบาลน้องเขยนั่งออยู่แต่ตัวเองกลัวไปม่สามารถ ไม่อยากเป็นวิวาญที่เข้าสิง อยากเข้ามาให้เร็วที่สึด มาเฉียดฉิวเอาใกล้ๆ ไม่ใช้เรื่องง่ายนัก บรรดาผู้นำในอดีตแต่ละท่านมีคนรักคนชับ ไม่มีใครคนชังมากท่าทักษิณ หรือชอบมาก คนที่มีคนชิงชังมากมายมหาศาล คนนิยมชมชอบก็มากมายมหาศาล คนชักมากบริหารประเทศ
อนาคตทักษิณ จะเป็นผู้ตีงูให้กากิน คือมีโอกาสอยากเข้ามา แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นธรรมดาของคนที่มีอำนาจแล้วไม่อยากยกอำนาจของตัวเองไปให้ใครง่าย ๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือคุณสมัคร สุนทรเวช ดังนั้น แม้คุณทักษิณ จะดิ้นรนโอกาสที่จะกลับเข้ามาในประเทศก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการถวายฎีกา จะเป็นช่องทางดึง "ทักษิณ" กลับมาหรือไม่นั้น การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นความพยายามแต่ดั้งเดิมของพรรคพลังประชาชน ซึ่งผมว่าผิดกับรัญบาลทั่ว ๆ ไป คือเมื่อมีอำนาจ ก็พยายามไม่ให้เกิดปัญหา หลีกเลี่ยงการโต้แย้ง แต่พรรคพลังประชาชน ประกาศกิจกรรมแรกคืออยากแก้รัฐธรรมนูญ แก้ 2 3 มาตรา แก้ผลที่เกิดจากประกาศคำสั่งคณะปฏิรูป แก้เกี่ยวกับการทำสัญญากับต่างประเทศ แก้เรื่องพระราชอำนาจการแต่งตั้งองคมนตรี เมื่อยื่นแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นปฐมเหตุเรื้อรัง วันนี้ยังมุ่งมั่นแก้รัฐธรรมนูญ ยืนหยัดแก้รัฐธรรมนูญต่อไป เพื่อไม่ยุติ ยอมเผชิญหน้า ดังนั้นตราบใดที่ยังจะแก้รัฐธรรมนูญ ปมเงื่อนปัญหาความขัดแย้งยังอยู่ และรุนแรง ข้อเท็จจริงปรากฎว่าสถาบันสำคัญกำลังโดนคุกคาม ท้าทายอยู่ในอันตราย เกิดคนตื่นตัวมาก หากจะแก้รัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งจะไปสู่ความแตกหัก
ตรงนี้นี่เองที่ทำให้นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่าประเทศไทยยังมีวิกฤติทางการเมือง
การแร่งแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประกาศคำสั่งคณะปฏิรูปสิ้นผลบังคับ มีผลต่อคดีที่ยังไม่มีการนำตัวมาศาล ที่ "ทักษิณ" จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในภาคหน้า
ส่วนการถวายฎีกา ทำได้ 2 อย่าง คือ ขอพระราชทานอัยโทษ หรือ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่การทำเพื่อคนๆ เดียวไม่ได้ ทว่าเขาอาจจะเขียนกฎหมายให้คาบเกี่ยวไปได้ ขอพระราชทานอภัยโทษ รัฐบาลทำเองไม่ได้ จึงเกิดการตั้งโต๊ะขออภัยโทษ "สมัคร" เป็นการชิมลาง เรื่องของ "สมัคร" เป็นไปได้ยากเพราะเป็นความผิดต่อส่วนตัวอาจทำได้ไม่ขัดกฎหมาย
แต่ "ทักษิณ" ทำผิดต่อรัฐ เงื่อนไขเป็นไปได้ ถ้าไม่ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม หากศาลตัดสินแล้ว "ทักษิณ" บอกว่าขอรับนับถือในคำตัดสิน แถลงการณ์นั้นแม้ระมัดระวังในการใช้ถ้อย แต่ก็มีหลายคำที่ชัดเจน กลายเป็นอุปสรรคในการขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะการไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่เป็นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษ
สำหรับการเมืองไทย ต่อจากนี้ไปจะเกิด "อนาธิปไตย" เข้าไปทุกที เมื่อวานผู้บริหารพรรคประชาธิปไตย โดนคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่คุกคาม ไล่ เกรงจะได้รับอันตราย ทำให้ต้องกลับเลย ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่รัฐมนตรีไปไหนโดนประชาชนต่อต้านขับไล่ จะเกิดขึ้นทั่วไป วันหนึ่งข้างหน้าสถานการณ์เลวร้ายจะมีอันตรายมากขึ้น แต่ที่น่ากลัวคือ "อนาธิปไตย" เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แล้ว กลางคืนถนนราชดำเนิน เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน มีการวางระเบิด ยิงกัน ยังกับฮอลิวูด
มันจะไม่หยุดยั้งในเวลาอันสั้น ประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองจะใช้เวลา 10-40 ปี ความสูญเสีย เสียหายยับเยิน เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลความมั่นคงปลอดภัยจะปล่อยให้ฆ่าก่อน หรือจะป้องกันปัญหาก่อนจะเกิด จะป้องกันอย่างไร เป็นไปได้อย่างไรมีสภาพอันตรายร้ายแรง มีการขู่ขวัญใช้อาวุธสงคราม ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศของเรา ไม่เห็นมีใครทำอะไร รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหรือไม่จึงค่อยป้องกัน อยากให้เห็นแก่ประเทศ อนาคตต้องป้องกัน สัตว์รักชีวิต ทำไมไม่หาทางระงับเหตุ
ส่วนเหตุการณ์ 7 ตุลา มี 6 คณะที่สอบสวนคือคระกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐบาล ตำรวจ ที่หวังได้คือป.ป.ช. และกสม. ขณะที่บางคณะตั้งขึ้นมาเพื่อถ่วงเวลา ทำให้คนคับแค้นใจ กสม.ทำส่วนที่หนึ่งเสร็จแล้ว ว่ามีการละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สองตรวจสอบ ออกรายงานว่า ผู้สั่งการคือนายกฯ และรัฐมนตรี ที่ประชุมกันในคืนวันที่ 6 ตุลาคม ต้องรับผิด ส่วนผู้ปฏิบัติการ กำลังดูว่าใครต้องรับผิดชอบบ้าง อาวุธที่ใช้เพื่อเป็นการสลายการชุมนุมหรือเจตนาฆ่า ส่วน ป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการสอบสวนแล้ว สองชุดนี้จะเป็นที่หวังได้

"ทักษิณ"พลิกเกมอ้อนแฝงปลุกระดมเผชิญหน้า

นักวิชาการหลายสำนักเผยผิดคาด "ทักษิณ" โฟนอินพึ่งพระบารมี พลิกเกมแบบเจียมตัว ยากตีความ ชี้ เสื้อแดง เปิดเกมวัดพลังพร้อมห้ำหั่นเสื้อเหลือง เต็มเหนี่ยว แนะ "สมชาย"ล้มเลิกความคิดตั้ง ส.ส.ร.3 หยุดชนวนเหตุนองเลือด

ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาหัวข้อ"วิเคราะห์เหตุการณ์หลังคืนวันที่ 1 พ.ย." โดยนางอมรา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวว่า การจัดเวทีความจริงวันนี้สัญจรเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.ออกมาค่อนข้างดี ไม่มีการเชิญชวนให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ถือเป็นวิธีการที่เหมาะสม แต่จะเหมาะสมมากกว่าหากจะไม่จัดเลย
การประกาศจัดเวทีด้วยการเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพรีเซ็นเตอร์ เชิญชวนคนให้มาแสดงพลังมหาศาลที่เขามีอยู่ ทำให้เห็นว่าพลังของเสื้อแดง และเสื้อเหลืองพร้อมจะเผชิญหน้ากันเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น เราต้องขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล ว่าไม่ควรมีการเผชิญหน้ากันระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง และกล้าที่จะตัดสินในเรื่องการตั้ง ส.ส.ร. 3 เพราะเป็นชนวนที่จะกระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้า

“ บนเวทีความจริงวันนี้คุณทักษิณ ได้พยายามพลิกสถานการณ์ด้วยการใช้ท่าทีเจียมตัว อ่อนน้อมนุ่มนวลว่าอยากจะกลับบ้านและบอกให้ประชาชนหาทางกลับให้และขอพึ่งพระบารมีนั้นก็ถือเป็นถ้อยคำที่ขึ้นอยู่กับว่าจะตีความกันอย่างไร โดยสามารถตีความได้สองทาง คือ การขอให้ประชาชนที่เป็นพลังเสื้อแดงช่วยให้เขาได้กลับบ้าน

ส่วนการขอความเมตตาต่อสถาบัน นั้น ความเมตตาต่อสถาบันก็ตีความได้หลายๆ อย่าง ซึ่งส่วนตัวไม่อยากพูดขอให้ทุกคนคิดกันเองว่าเป็นรูปแบบไหน

ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า การที่ทุกฝ่ายจะบอกว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรงก็เป็นการพูดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีเท่านั้น แม้ไม่ได้พกอาวุธปืน มีด แต่ก็มีการใช้คำพูดที่ยั่วยุให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม เมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้ายอีกฝ่ายก็จะแอบดีใจ ซึ่งถือเป็นความรุนแรง เพราะในใจทุกฝ่ายมีความรุนแรงอยู่

ดังนั้น สถาบันศาสนาจะต้องออกมาชี้นำให้สังคมได้ตระหนักและเป็นส่วนหนึ่งให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน ความรุนแรงที่อีกฝ่ายเป็นคนอื่นไม่ใช่พวกเดียวกันถือเป็นความรุนแรงที่เป็นอันตรายมาก ซึ่งจะนำไปสู่การห้ำหั่นกัน

นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงกระบวนการยุติธรรมและมีผู้เสนอให้ถวายฎีกานั้นตนเห็นว่าขณะนี้ต้องบอกว่ากระบวนการยุติธรรมในคดียังไม่สิ้นสุด เพราะมีเวลาอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญได้ภายใน 30 วัน เราจึงบอกไม่ได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิด จึงอยากเรียกร้องให้กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างนี้ไม่ต้องถวายฎีกาเพื่อสู้คดี แต่ถ้ากระบวนการสิ้นสุดแล้วก็สามารถถวายฎีกาได้ เพราะถือเป็นพระราชอำนาจของในหลวง

"ไม่ควรไปกดดันด้วยการล่ารายชื่อเป็นหมื่นเป็นแสน ถวายฎีกาแค่เพียงคนเดียวหรือสองคนก็ได้แล้วไม่จำเป็นต้องล่ารายชื่อ"

นายเอกพันธุ์ ปิณฑวนิช นักวิชการจากศูนย์ศึกษาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.ไม่ว่าฝ่ายพันธมิตร และรัฐบาล หากรัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าให้มีส.ส.ร. 3 ก็จะมีแนวโน้มเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ 7 ต.ค. หากรัฐบาลยังไม่หยุดและมีเหตุนองเลือดเกิดขึ้น ผู้รับชอบจะต้องเป็นรัฐบาล รวมทั้งนปช.และ หากมีการเคลื่อนไหวการชุมนุมอีกแกนนำจะต้องรับผิดชอบ

นายเอกพันธุ์ ยังกล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นจุดที่สังคมก้าวไม่พ้นทักษิณเสียที ต้องกลับมาสู่ เสื้อแดงเพิ่มขึ้นมากขนาดนั้นเกรงว่าพันธมิตร ก็พร้อมจะแสดงกำลัง ด้วยการระดมมวลชนเสื้อเหลืองมากขึ้น ถ้าพันธมิตร เพิ่มขึ้น นปช.ก็เพิ่มขึ้นอีก ไม่คิดว่าจะเป็นทางออกที่คลี่คลาย

นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งหลังจากเกิดเหตุ 7 ต.ค.จะคลี่คลายไปบ้าง แต่หลังจากนี้คิดว่าแนวโน้มความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น อาจถึงขั้นนองเลือดครั้งที่ 4 เพราะจะเป็นการบวกสถานการณ์ 7 ต.ค.และ 2 ก.ย.เข้าด้วยกันเพราะมีนปช.เข้ามาด้วย อาจจะลุกลามเป็นสงครามการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาเราประคองสถานการณ์มาได้กว่า 100 วันแล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยง โดยทั้งสองฝ่ายทั้งพันธมิตร และนปช.ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและงดความเคลื่อนไหวไม่ให้เกิดการปะทะ สิ่งใดที่เป็นอาวุธก็ควรไม่นำเข้ามาในที่ชุมนุม

สังคมไทยต้องเตือนทั้งสองฝ่ายให้ยึดกติกาเป็นหลัก ส่วนรัฐบาลต้องสรุปบทเรียนเหตุการณ์ 7 ต.ค.

ขณะที่ตำรวจ และทหาร ก็ควรสรุปว่าพลังของนปช.ที่ออกมาเมื่อวานนี้ (1 พ.ย.)หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติ พลังเหล่านี้ก็จะออกมาต่อต้าน

“การเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั้นพรรคร่วมรัฐบาลควรต้องชะลอกระบวนการออกไปก่อน เพราะขณะนี้กระบวนการไม่ได้รับการยอมรับ ถ้าเดินหน้าต่อไปชนวนความขัดแย้งก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ถ้าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ถูกบรรจุเข้าสู่วาระของที่ประชุมสภาในวันพุธที่ 5 พ.ย.นี้ แล้วสภาอนุมุติให้ผ่านสองวาระรวดแล้วตั้งกรรมาธิการขึ้นมาระหว่างสองสภาและเว้นไว้ 15 วันก่อนเข้าสู่วาระ 3 ก็จะยิ่งให้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะการเข้าสู่วาระ 3 จะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้ารัฐบาลและฝ่ายสภาเล่นเกมเร็วด้วยการใช้เสียงข้างมากพิจารณารวดเดียว ความขัดแย้งก็ยิ่งสูงขึ้น อาจจะถือเป็นการผลักดันให้ความขัดแย้งถึงวาระแตกหัก

ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชะลอส.ส.ร. 3 ออกไปก่อน แล้วกลับมาตั้งหลักกันใหม่ด้วยการดึงฝ่ายต่าง ๆที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันก่อน ”

นายปริญญา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้รัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องมีส.ส.ร. 3 เดินหน้าต่อไปจะเป็นการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงจนรัฐบาลก็จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ(คปพร.) นั้นก็ไม่ใช่ทางออก หากนำมาใช้ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังเล่นเกมเสี่ยง ที่ไม่ใช่เฉพาะเก้าอี้ตัวเอง แต่เป็นการเอาประเทศไปเสี่ยงด้วย ตอนนี้ทางออกก็มีหลายทาง ที่รัฐบาลจะต้องเลือกเว้นแต่ว่าจะตั้งส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจอยู่ไปได้นานขึ้นหรือเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเหตุการณ์ 7 ต.ค.เท่านั้น

“ เราจะต้องจับตาคำสัญญาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่เคยประกาศว่าหลังจากตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายปรีชา พาณิชวงศ์ เป็นประธานฯ ทำงานไปแล้ว 15 วันและมีผลอย่างไรรัฐบาลก็จะปฏิบัตินั้นเมื่อครบกำหนดแล้วนายสมชายจะทำอย่างไร เพราะการรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ไม่ใช่การใช้เงินอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นการรับผิดทางการเมืองด้วย ถ้าครบกำหนดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะทำให้นายสมชายขาดความน่าเชื่อถือย่างรุนแรง ”

รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอยู่นี้ไม่ได้เป็นการแก้ไขความขัดแย้งแต่เป็นเรื่องการแก้เกมการเมือง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหยุดก่อน เพราะหากไม่หยุดวันที่ 20-21 พ.ย.ที่อาจจะเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องนำผลการพิจารณาของกรรมาธิการศึกษามาตรา 291 เราอาจจะต้องเห็นการนองเลือดอีก

"ผมมีข้อเสนอให้ทุกฝ่ายสองทางเลือก คือ 1. ถ้ารัฐบาลเห็นว่าไม่ควรเดินหน้าให้มีส.ส.ร.ก็ควรยุบสภาและก่อนยุบก็ควรตกลงกันว่าจะให้มีการเลือกตั้งและส.ส.ควรมีที่มาแบบใด อาจจะมีเวทีในการพูดคุยทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและรัฐบาล และ 2. ให้มีการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ด้วยการพ่วงวาระทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนได้ออกความเห็นว่าจะตั้ง ส.ส.ร.เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร หากผลเป็นอย่างไรก็ถือว่าทุกฝ่ายจะต้องยุติ ”

นายปริญญา กล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ บนเวทีความจริงวันนี้สัญจรว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเรื่องมหาประชาชนต้องไม่ลืมว่าประชาชนมีทั้งฝ่ายไม่ชอบและชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องตระหนักว่าไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบก็เป็นประชาชนทั้งสิ้น ดังนั้น ต้องไม่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกลียดกันมากไปกว่านี้ โดยสังคมไทยควรจะข้ามพ้นเรื่องตัวบุคคล โดยต้องฝากถึงคู่ขัดแย้งทั้งสองกลุ่มไม่ควรมาฆ่ากันเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงคดีเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.นั้นตนคิดว่าคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ กังวลมากที่สุด น่าจะเป็นคดียึดทรัพย์ เพราะคดีอื่น ๆ ที่เป็นคดีอาญาที่จะเดินต่อไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีการเปิดศาลนัดแรก ที่โดยหลักแล้วโจทก์ต้องนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลก่อนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งคดีอาญาอื่นๆ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มาขึ้นศาลเลย แต่คดียึดทรัพย์ไม่ใช่คดีอาญาศาลจึงสามารถพิจารณาลับหลังจำเลยได้

“ คดีการยึดทรัพย์นี้ไม่ใช่ว่าศาลจะต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดที่อายัดไว้ เพราะหากพ.ต.ท.ทักษิณสู้คดีและพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินได้มาโดยชอบศาลก็จะคืนให้ หากพิสูจน์ได้มากแค่ไหนก็จะได้คืนมากเท่านั้น ดังนั้นต้องคุณทักษิณจะต้องกลับมาพิสูจน์ในศาล หากมั่นใจว่าได้ทรัพย์สินของตัวเองได้มาโดยชอบก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แม้มีข้อโต้แย้งว่า การจัดทำสำนวนในการฟ้องคดีนั้นมาจากการทำงานของคตส.ที่มาจากการรัฐประหาร แต่ต้องไม่ลืมว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกระบวนการปกติที่มีมาก่อน 19 ก.ย. 49 ดังนั้นทักษิณไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าเชื่อมั่นว่าตัวเองหาทรัพย์สินมาโดยชอบจริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว ”

วิถีแห่งราชประชาสมาสัย !

สังคมไทยแตกแยกเป็น 2 ส่วนมากขึ้น ๆ หลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ความแตกแยกนี้ไม่อาจยุติลงได้โดยวิถีทางปกติ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลลาออก ยุบสภา หรือทหารออกมารัฐประหารในรูปแบบเดิม ๆ หรือปรับเปลี่ยนไปจากเดิมไม่มาก มีอยู่วิถีทางเดียวเท่านั้น....

คำว่า “ลัทธิราชประชาสมาสัย” พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านนำมาใช้เป็นครั้งแรก ในบทสนทนาหัวข้อ “การเมืองไทย” กับท่านอาจารย์เสน่ห์ จามริก และท่านอาจารย์ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ มีบันทึกอยู่ในวารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 เดือนเมษายน 2515 หน้า 39 – 45

ระยะเวลาที่ใกล้ขึ้นมาสักหน่อย ก็เห็นจะเป็นงานเขียนของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่แม้จะไม่ได้เอ่ยคำว่า “ลัทธิราชประชาสมาสัย” แต่ก็ได้อรรถาธิบายลักษณะพิเศษของระบอบประชาธิปไตยในบ้านเราไว้ได้ชัดเจน

ท่านเขียนไว้ในบทความเรื่อง "ในหลวงกับประชาชน : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทย" ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ 30 เมษายน 2536 และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบทที่ 7 ส่วนที่ 2 ตำรา "กฎหมายมหาชน เล่ม 2" ตีพิมพ์เมื่อเดือนกันยายน 2537

อาจารย์บวรศํกดิ์ ฟันธงว่า เอกลักษณ์ระบอบประชาธิปไตยไทยนั้นแตกต่างกับประเทศอื่นตรงที่...

อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ที่พระมหากษัตริย์และประชาชน

ต่างกับรัฐธรรมนูญของชาติอื่นที่ถือว่าประชาชนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย !

ทั้งนี้ ก็จากการพิจารณาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับนับแต่ 10 ธันวาคม 2475 มาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้ข้อความทำนองเดียวกัน

“อำนาจอธิปไตยมาจาก (เป็นของ) ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”

ซึ่งมีที่มาจาก 2 เหตุผลหลัก

1. เหตุทางประเพณีในสังคมวัฒนธรรมไทย -- อันเกิดจากการสั่งสมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระมหากษัตริย์กับประชาชน

2. เหตุผลทางนิติศาสตร์ -- หากสืบสาวเรื่องย้อนไปจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อำนาจอธิปไตยอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ครั้นเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงอำนาจอธิปไตยอยู่ก็สละพระราชอำนาจนั้นให้ประชาชนทั้งประเทศด้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญ แล้วลดพระองค์ลงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ยังทรงใช้อำนาจนั้นแทนปวงชน

ในทางกฎหมาย ต้องถือว่าทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนต่างเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน

ด้วยเหตุนี้ในทางกฎหมายนั้น เมื่อมีการรัฐประหารเลิกรัฐธรรมนูญคราใดต้องถือว่าอำนาจอธิปไตยที่เคยพระราชทานให้ปวงชนนั้นกลับคืนมายังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475

ผลสำคัญประการแรกทางกฎหมายระหว่างประเทศก็คือ รัฐบาลนานาชาติไม่ต้องรับรองรัฐบาลไทยใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงโดยการรัฐประหารเป็นเรื่องระดับภายใน แต่ระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ยังดำรงอยู่ และทรงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่กลับคืนมาเป็นของพระองค์ท่านด้วย ส่วนคณะรัฐประหารไม่ใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตยเลย แต่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองในเวลานั้นตามความเป็นจริงเท่านั้น

พูดง่าย ๆ คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นอำนาจทางกฎหมายอยู่ที่พระมหากษัตริย์ แต่อำนาจในทางความเป็นจริงอยู่ที่คณะรัฐประหาร

ผลสำคัญประการที่สองคือเมื่อคณะรัฐประหารประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อจัดทำเสร็จ ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อลงพระปรมาภิไธยก็เท่ากับพระมหากษัตริย์สละอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาที่ประชาชนอีก

สรุปคืออำนาจอธิปไตยที่เป็นอำนาจตามกฎหมายนั้นถ้าไม่อยู่ที่ “พระมหากษัตริย์” แล้ว.. . ก็อยู่ที่ “พระมหากษัตริย์กับประชาชน” เท่านั้น !

สภาพการณ์ในทางปฏิบัติที่ควรพิจารณาทางด้านนิติบัญญัติ ในการตราพระราชบัญญัตินั้น แม้กฎหมายจะผ่านรัฐสภามาแล้ว ก็ต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยจึงจะเป็นพระราชบัญญัติ และพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจยับยั้งที่จะไม่ลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายได้ ในประเทศตะวันตก ถือว่าแม้พระมหากษัตริย์จะมีพระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย แต่ก็มีจารีตประเพณีว่าพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนั้น

ดังที่ปรากฏในอังกฤษ ว่าตั้งแต่ปี 1807 ที่ควีนแอนน์ทรงยับยั้งกฎหมายเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ปรากฏว่ากษัตริย์อังกฤษเคยยับยั้งร่างกฎหมายอีกเลย แต่ในไทยประเพณีการปกครองที่คนไทยยอมรับแตกต่างกับในอังกฤษอย่างสิ้นเชิง หากพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย หรือมีพระราชดำริให้แก้กฎหมาย องค์กรตามรัฐธรรมนูญพึงดำเนินการตามพระราชวินิจฉัยนั้น แม้โดยปกติพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ แต่เมื่อทรงใช้ องค์กรตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมาก็ปฏิบัติตาม

ดังจะเห็นได้จากพระราชกระแสที่มีพระบรมราชวิจารณ์รัฐธรรมนูญ 2517 ว่าการให้องคมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตั้งสมาชิกวุฒิสภา เป็นการดึงพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวกับการเมือง

สภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2517 เมื่อปี 2518 ตามพระราชกระแส ซึ่งยังไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้ในประเทศอื่น แม้เมื่อประมาณปี 2535 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหมิ่นประมาทที่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้ว และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าจำกัดดุลพินิจศาล และไม่สอดคล้องกับเสรีภาพของสื่อมวลชน ก็ไม่ปรากฏว่ามีการลงพระปรมาภิไธย และไม่ปรากฏว่าเมื่อเกิน 90 วันไปแล้วมีการหยิบยกขึ้นโดยรัฐสภาเพื่อลงมติยืนยันแต่อย่างใด

จริงอยู่ รัฐบาลปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง สถานการณ์ไม่น่าจะนำไปเปรียบเทียบกับคณะรัฐประหารในอดีตได้ นี่ก็ขึ้นอยู่กับการตีความและอยู่ที่เจตจำนงของประชาชน เพราะ “ทรราช” มีได้หลายโฉมหน้า !

การได้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินการฉ้อฉลสารพัดสารพันถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต่างจากการรัฐประหารโดยเนื้อหา

เป็นการรัฐประหารด้วยอำนาจเงิน !

การแถลงนโยบายฝ่ายเดียว ท่ามกลางองค์ประชุมที่น่าสงสัยว่าจะไม่ครบนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว – ขณะนี้ไม่มีรัฐบาล และอำนาจอธิปไตยที่ได้พระราชทานให้ปวงชนนั้นจึงกลับคืนไปสู่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475 โดยอัตโนมัติอีกครั้ง แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือไม่ – ก็อยู่ที่ประชาชนทั้งหมดแล้วว่าจะแสดงประชามติ “รับรอง” หรือไม่ ?

"โคทม" ผิดหวัง"แม้ว"โฟนอินเรื่องของตัวเอง ไม่ช่วยยุติรุนแรง

ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี ผิดหวัง "นักโทษชายแม้ว" โฟนอินเรื่องของตัวเอง ไม่ได้ช่วยยุติความรุนแรง ยังหวังให้ปรับเปลี่ยนความคิดสร้างสันติสุขให้ประเทศชาติ

นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การโฟนอินของพ.ท.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการจับใจความเนื้อหาก็พอรับได้ แต่ก็ค่อยข้างไปทางลบ ไม่ได้ช่วยให้เกิดการคลี่คลายสถานกรณ์ความรุนแรงในประเทศได้เลย พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงสถานะของตัวเองตลอด ไม่ได้ย้ำให้เกิดการยุติความรุนแรงแต่อย่างใด หากจะให้เดาคงบอกได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายที่จะกอบกู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนเอง อยากจะกลับเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็มีความพยายามที่จะเข้ามาในไทย

"ความรุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่คงตอบไม่ได้ เพราะมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่การทำแกนนำพันธมิตร และนปช. ออกมาประกาศจะไม่ใช่วิธีรุนแรงหรือหลีกเลี่ยงการปะทะ ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี และผมยังคงหวังว่าคุณทักษิณ น่าจะมีส่วนช่วยให้ประเทศชาติ ประชาธิปไตย ด้วนสันติวิธีกลับคืนมาได้" ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี กล่าวทิ้งท้าย

นักวิชการอัด"แม้ว"ปลุกมวลชนขอพระราชทานอภัยโทษ

นักวิชาการนิด้า จวก “ทักษิณ” โฟนอินทำ “สังคมแตก” ปลุกมวลชน ฮือขอในหลวง อภัยโทษพ้นคุก ชี้ชัดทำไม่ได้ต้องเข้าตารางก่อน เชื่อทหารออก “ยึดอำนาจ” ก่อนบ้านเมืองพินาศ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุในการโฟนอินว่าจะกลับไทยได้ด้วยพระบารมีและพระเมตตา ว่า ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนว่าจะใช้กระบวนการราชประชาสมาศัย ให้การช่วยเหลือให้ตัวเองพ้นผิด คือการให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากแล้วเรียกร้องให้ขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์

"โดยหลักกฎหมายแล้วการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นผู้นั้นต้องได้รับโทษอยู่ก่อนแล้วจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ แต่แนวทางนี้ก็ขัดรัฐธรรมนูญเพราะการจะนิรโทษกรรมนั้นจะทำเพื่อคนๆ เดียวไม่ได้"

อธิการบดีนิด้า กล่าวว่า ท่าทีการปลุกระดมของพ.ต.ท.ทักษิณ เห็นชัดว่าจะใช้กำลังคนที่สนับสนุนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง โดยทำทุกอย่างไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเกิดความแตกแยกรุนแรงขนาดไหน เพราะคน 2 กลุ่มพร้อมจะปะทะกันมากขึ้น เชื่อว่าก่อนที่บ้านเมืองจะพินาศถึงขีดสุดทหารจะออกมาปฎิบัติการบางอย่างเพื่อยุติปัญหา

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"แม้ว"ซมซานขอพึ่งพระบารมีกลับประเทศ

นักโทษชายทักษิณ สายตรงสาวกเสื้อแดง ขอพึ่งพระบารมี และพลังเสื้อแดงกลับเข้า
เมื่อเวลา 20.50น. ได้มีการต่อสายจากพ.ต.ทงทักษิณ ชินวัตร เข้ามาในรายการ"ควมจริงวันนี้สัญจร สด ๆ ท่ามกลางเสียงปรบมือ และตะโกนต้อนรับพ.ต.ท.ทักษิณ ดังกระหึ่มป็นระยะ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวทักทายผู้มาร่วมชุมนุมราว 5 หมื่นคน ว่า คิดถึงตนหรือเปล่า เรียกเสียงตอบรับกระหึ่มสนามกีฬา พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้พอหลายคนรู้ข่าว่าตนจะโฟนอิน เข้ามาในรายการก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในไทย เพราคิดว่าตนจะพูดสร้างความแตกแยก
" จริง ๆ แล้วผมไม่ใช่หัวหน้าม็อบ แต่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี มีสำนึกต่อประชาชนและประเทศชาติ ผมอยากกลับมาประเทศไทยแต่ก็กลับไม่ได้ ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี อายุความของคดียาว 10 ปี ถามว่าพี่น้องจะให้ผมอยู่ต่างประเทศนานถึง10ปีเชียวหรือ " พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวตั้งคำถาม ท่ามกลางแฟนพันธุ์แท้คนรักทักษิณตะโกนเรียกชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเสียงร้องไห้ดังระงม
กระนั้นก็ดี อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องหนีคดีความอยู่ในต่างประเทศ ยังกล่าวอีกว่า ไม่มีใครจะนำตนกลับเมืองไทยได้นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้