วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ผบ.ตร.ขึงขังขู่"เสื้อแดง"ผิดกฎหมายจับทันที


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

"ผบ.ตร.-แม่ทัพภาค 1" ถกรับมือ "เสื้อแดง" ชุมนุมใหญ่-บุกล้อม คาดมีผู้ร่วมชุมนุม 2 หมื่นคน "พัชรวาท" กร้าวไม่ยอมให้ม็อบยึดทำเนียบฯ เด็ดขาด ระดมตร.นับหมื่นนายรับมือ เล็งขอกำลังทหารเสริม

การประกาศชุมนุมใหญ่ของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ท้องสนามหลวง ในวันพรุ่งนี้ (31 ม.ค.) ภายใต้ชื่อภารกิจ "แดงทั้งแผ่นดิน" ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น. และในเวลา 21.00 น. จะมีการเคลื่อนขบวนไปล้อมทำเนียบรัฐบาล ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องประชุมเตรียมพร้อมเพื่อรับมือ
โดยบ่ายวันนี้ (30 ม.ค.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้าร่วมรับฟังการประชุมซักซ้อมทำความเข้าใจแผนปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยของตำรวจนครบาลในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. พร้อมประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด โดยเชิญ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และ ปลัด กทม. เข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังการประชุมว่า ประเมินสถานการณ์ร่วมกับกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือผู้ชุมนุมเคลื่อนไหว โดยเน้นย้ำผู้ปฏิบัติให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด หากพบผู้ชุมนุมการกระทำผิดกฎหมาย มีการเตรียมพร้อมพนักงานสอบสวนไว้ดำเนินคดีแล้ว และหากกำลังตำรวจไม่เพียงพอจะประสานขอกำลังเสริมจากทหารมา เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานด้วย ซึ่งหากมีการบุกรุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลคงไม่ยอมแน่นอน
ด้านพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า การชุมนุมหรือเคลื่อนขบวนสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และปราศจากอาวุธ พร้อมยืนยันว่า ตำรวจจะไม่ใช้ความรุนแรง หรือแก๊สน้ำตา แต่จะมีเพียงโล่เป็นอาวุธป้องกันเท่านั้น
ส่วนแผนปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อย ตำรวจนครบาลจะใช้แผนปฏิบัติเดิม คือ" แผนกรกฏ48" ใช้กำลังประมาณ 35 กองร้อยจำนวน 5,250 นายต่อ 1 ผลัด ผลัดละ 12 ชม. ระดมมาจาก บช.น. บช.ภ.1,2,7 บช.ก.และ ตชด.โดยมีการขอกำลังทหารมาช่วยอีก 22 กองร้อยมาช่วยดูแลความสงบ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากทาง กทม.เป็นอย่างดี ทั้ง รถน้ำ รถดับเพลิง และรถไฟส่องสว่าง
"จะใช้การเจรจาเป็นหลัก โดยมีจุดเจรจา 4 จุดคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานผ่านฟ้า แยกจปร. และสะพานมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งได้มอบหมายให้รอง ผบช.น.และ รองผบก.ต่างๆ คุมกำลังตามจุดที่กำหนด และจาการคาดการคิดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะมีประมาณ 20,000 " พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว

"เทพเทือก"ส่งสัญญาณปรับครม.


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐษนะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาของนายวิฑูรย์ นามบุตร ที่ฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องปลากระป๋องเน่า ว่า วันที่ 1 ก.พ.นี้คงไม่มีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จากที่ได้ฟังนายวิฑูรย์ ชี้แจงในสภาฯ เขาไม่เห็นหลักฐานที่เขานำมาแสดงเพราะอยู่ไกลกัน จึงไม่ได้อ่าน แต่เห็นว่าชี้แจงได้แข็งแรงดี

"ผมจะรอว่านายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากเมืองดาวอส (1 ก.พ.) แล้วก็จะหารือกันก่อนว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ปล่อยเอาไว้คาใจประชาชนไม่ได้ ต้องสะสางให้ชัดเจน"

ส่วนกรณีของนายบุญจง นั้น เมื่อมีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. และ กกต.ตรวจสอบ คิดว่าทั้งสององค์กรนี้เป็นองค์กรกลางที่เป็นอิสระดีที่สุด

ทีมงานเลขาฯ ปชป.รุดถก"สุเทพ"
ท่ามกลางกระแสปรับครม. วันนี้ (30) ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 14.00 น. ทีมงานสำนักเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาทิเช่น นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม รองเลขาธิการพรรค นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรูพ่าย รองเลขาธิการพรรค นายเทพไท เสนพงศ์ นางนวลพันธุ์ ล่ำซำ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน ได้เดินทางเข้าพบและหารือกับนายสุเทพ ที่ห้องทำงาน ตึกบัญชาการ โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง
ส่วนนายเทพไท กล่าวถึงความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน ส.ส.สัดส่วน เข้ามารับตำแหน่งรมว.พม. นายเทพไท กล่าวว่า ก็เป็นคนหนึ่ง เพราะนายไกรศักดิ์ เคยเป็นรัฐมนตรีเงาพม.มาก่อน
ด้านนายอิสสระ สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าเป็นหนึ่งในว่าที่รัฐมนตรีแทนนายวิฑูรย์ ว่า อย่าเพิ่งพูดไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมานายวิฑูรย์ เองก็สามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้ดี ขอให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคที่จะพิจารณาน่าจะดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวนอกจากนายอิสสระ แล้ว ยังมีชื่อนายศุภชัย ศรีหล้า ที่จะมีคั่วตำแหน่งรัฐมนตรีพม.ในครั้งนี้ด้วย

"ภูมิใจไทย"ตีกันนายกฯปรับครม.

ส่วนนายศุภชัย โพธิ์สุ สส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงภายหลังการประชุมส.ส.ของพรรคว่า นายบุญจง ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการไปแจกเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ พร้อมนามบัตร และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ร่วมชี้แจงด้วย ขณะที่การปรับครม. นายกฯ ไม่ได้บอกว่าจะปรับครม. จึงไม่วิตกว่านายกฯ จะปรับแบบสายฟ้าแลบ เพราะเป็นแค่ข้อกล่าวหา นายบุญจง พร้อมให้ตรวจสอบ

ประธานวุฒิชี้รมต.ลงมติงบไม่ขัด177


หมวดข่าว : การเมือง
โดยทีมข่าว : รัฐสภา/ทำเนียบรัฐบาล

ประธานวุฒิสภา ชี้รัฐมนตรีลงมติผ่านงบกลางปีไม่น่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่หากเพื่อไทยติดใจยินดียื่นป.ป.ช.-ศาลรธน.ชี้ขาด เผยคำวินิจฉัยศาลรธน.เคยยกคำร้อง 30 ส.ว.กรณีครม."สมชาย" มีเอี่ยวงบ 45,000 ล้าน เลขานุการกมธ.ยกร่างฯ ชี้ฝ่ายค้านคิดเลยเถิด ด้านเพื่อไทย บี้ 3 รมต.โหวตรับงบเพิ่มเติมให้ลาออก พ่วงไล่รมต.ปลากระป๋อง-รมต.ผ้าห่ม ให้เวลาถึงวันจันทร์ หากไม่ออก จะยื่นศาลรธน.จัดการ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.ฝ่ายค้าน เตรียมที่จะเข้าชื่อ 1 ใน 4 เพื่อยื่นถอดถอน 3 รัฐมนตรีที่ลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 เพราะทำขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรคสอง เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.ลงมติในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย ว่า เขาเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกัน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันโดยตรง
ประธานวุฒิสภา บอกว่า สมมติว่ามีคนเอาหนังสติ๊กไปยิงไก่ แล้วเกิดไก่วิ่งไปชนหม้อแกงหก จนทำให้ไม่สามารถกินได้ แล้วอย่างนี้จะไปโทษคนยิงไก่ได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรหาก ส.ส.ยื่นเรื่องมาก็ต้องตรวจสอบรายชื่อ รวมถึงข้อหา ก่อนจะส่งไปให้ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะนักกฎหมายตีความคำว่า มีส่วนได้เสีย อย่างไร นายประสพสุข กล่าวว่า ความหมายคืองบประมาณที่ลงไปอยู่ในโครงการแล้วส.ส.มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่ถ้าเป็นงบประมาณโดยรวมแสนกว่าล้านบาทแล้วนำไปใช้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างนี้ ก็ต้องดูว่าโดยตรงหรือไม่
บรรทัดฐานศาลรธน.กรณีมีส่วนได้เสีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้าที่ ส.ว.30 คน นำโดยน.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้เข้าชื่อกันและยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า มีการแปรงบประมาณเพิ่ม 45,000 ล้านบาท โดยครม. เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจาก ครม.ที่มีสถานะเป็นส.ส.ด้วย ซึ่งมีข้อห้ามแปรญัตติงบประมาณ มาตรา 168 วรรค 6
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยว่า การที่ครม.มีมติให้เสนอเพิ่มงบประมาณ (45,000 ล้านบาท) ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นการกระทำในฐานะฝ่ายบริหาร มิได้กระทำในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรค 6
กมธ.ยกร่างฯรธน.2550ชี้ไม่ขัดรธน.
ด้านนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า มาตรา 177 มีเจตนารมณ์ให้มุ่งตีความโดยแคบป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.โหวตสนับสนุนในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเอง หรือในส่วนของการเสนอกฎหมายนั้นรัฐธรรมนูญไม่ให้โหวตในกฎหมายที่ตัวเองมีส่วนได้เสียโดยตรง
"การตีความของพรรคฝ่ายค้านนั้นกว้างขวางเกินไปไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เป็นการตีความที่ทำให้การทำงานทำไม่ได้ เพราะการยึดว่ารัฐมนตรีเป็นผู้เสนอกฎหมายแล้วลงมติไม่ได้ก็เท่ากับว่า ครม.ทั้งชุดลงมติกฎหมายที่ออกมาจาก ครม.ไม่ได้เลย ถือว่าตลกมาก เลยเถิดไปกันใหญ่ การใช้กฎหมายต้องทำอย่างเป็นปกติไม่ใช่ตีความเพื่อเล่นงานใครคนใดคนหนึ่ง"
ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ แถลงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งตรากฎเหล็ก 9 ข้อ ที่รัฐมนตรีต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย นายกฯจึงต้องรับผิดชอบด้วย และหากนายกฯ ยังไม่ดำเนินการอะไร หรือรัฐมนตรียังไม่ลาออก จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาทันทีในสัปดาห์หน้า
พท.ยื่นหลักฐานป.ป.ช.เพิ่มกรณี"บุญจง"
ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางเข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีกล่าวหานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แจกเงินพร้อมแนบนามบัตร โดยเป็นภาพวิดีโอ และได้ทำหนังสือขอรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากทราบว่าที่แจกกันในวันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่หัวคะแนนนายบุญจง
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า อีก 2 สัปดาห์จะเปิดเผยข้อมูลคนใกล้ชิดนายวิฑูรย์ ซึ่งเป็นส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำตัวเป็นเจ้าแม่ในกระทรวงพม. ที่มีอักษรย่อชื่อเล่น "บ" ซึ่งควรโดนตรวจสอบโดยมาตรา 266 เพราะใช้อำนาจ ส.ส.ไปก้าวก่ายข้าราชการประจำ และหาผลประโยชน์ จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ว่าหากไม่รีบตัดตอนนายวิฑูรย์ ก็จะลามไปถึงคนใกล้ตัวนายกฯ เพราะเจ้าแม่ "บ" คนนี้ สนิทสนมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

"อภิสิทธิ์"คุยโต๊ะกลม"อันนัน-บิล เกตส์"ถกความมั่นคงอาหาร


หมวดข่าว : การเมือง

โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (WEF) ครั้งที่ 39 ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. ถึง 1 ก.พ. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า การร่วมประชุมประจำปีผู้นำเศรษฐกิจโลกทั้งภาครัฐบาลและเอกชนของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะได้พบกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้จัดงานโดยจะได้พูดคุยกันเรื่องของสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่ไม่ได้มีผลผูกพันทางการเมือง หรือทางกฎหมาย

"เป็นการประชุมที่เปิดกว้างให้ผู้นำภาคธุรกิจและภาครัฐมาแสดงความคิดเห็น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า รอบหลายปีที่ผ่านมาปรากฏว่าการประชุม WEF กลับมีผลผูกมัดในเชิงนโยบาย คือ มีการนำไปปฏิบัติ เวที WEF จึงเป็นที่สนใจของผู้นำโลกที่จะเข้ามาแสดงจุดยืนความคิดเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ปัญหาทุนนิยม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่กำลังพัฒนารวมทั้งแนวทางใหม่ๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเจริญเติบโต

ในการสัมมนากลุ่มย่อย WEF จะมีผู้นำที่หลายหลายเข้ามาร่วมเป็นผู้อภิปราย บางกลุ่มเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยจะแสดงปาฐกถาเปิดการเสวนาในบางกลุ่ม และอาจเป็นผู้ร่วมเข้าฟังในบางกลุ่ม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำอื่นๆ เข้ามาร่วมเสวนา บรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ แต่หัวข้อการพูดคุยค่อนข้างเข้มข้น โดยสิ่งที่เราจะพูดจะมีเฉพาะส่วนที่เราเข้มแข็ง อาทิเช่น เรื่องการค้า การท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ในวันนี้ 30 ม.ค. เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้กล่าวเปิดเสวนาเรื่อง "การเจริญเติบโต ผ่านการเดินทางและการท่องเที่ยว " เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าไทยเข้มแข็ง ในแง่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมบริการ และอุตสาหกรรมการเดินทาง

"ท่านนายกฯ ได้นำเสนอว่า ในยามที่วิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น ถ้าเรามีการท่องเที่ยวการเดินทางที่ดีจะพยุงผลกระทบจากเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องคิดถึงการส่งออกมากนัก แต่การส่งออกยังเป็นเรื่องสำคัญจะต้องมีมาตรการหนุนการส่งออก"

นายปณิธาน เปิดเผยด้วยว่า แม้ว่าต่างชาติเขาซื้อสินค้าเราไม่ได้ แต่เขาสามารถมาเที่ยวในไทยได้ คนไทยเที่ยวกันเอง เศรษฐกิจก็จะประคับประคองตัวได้ แต่จะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน ซึ่งในเชิงบริหารของไทยได้ให้มีการยกระดับให้มีการรักษาความปลอดภัยโดยการร่างกฎหมายออกมา และนอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยแล้ว ไทยยังมีมาตรการจูงใจยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือน ลดค่าใช้จ่ายเที่ยวบินเหมาลำที่จะลงจอดสนามบิน มาตรการลดภาษีต่างๆให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว

"การที่ไทยได้ไปร่วมครั้งนี้ถือเป็นการโชคดีที่เป็นสัญญาณว่าไทยได้กลับมามีผู้นำเข้มแข็งและพร้อมจะเดินหน้าประเทศต่อไป"

ขณะที่กำหนดการช่วงบ่ายวันที่ 30 ม.ค. นายกรัฐมนตรี เข้าประชุมร่วมกับผู้นำโลกหลายประเทศ เพื่อถกปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยนายกรัฐมนตรีไทย มีโอกาสนำเสนอประสบการณ์ว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกตอนนี้เกิดขึ้นกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาเคยประสบวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้มาแล้วอย่างรุนแรงและไทยเอาตัวรอดมาได้อย่างไร มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มความเข้มแข็งสถาบันการเงินอย่างไร

“ท่านนายกฯ พร้อมเล่าให้ฟังในเวทีโลก ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจโลก พร้อมกับมีการเสนอให้ปรับโครงสร้างของทุนนิยมโลก ปฏิรูปสถาบันการเงินในระบบทุนนิยม อาทิเช่น ไอเอ็มเอฟ และ สถาบันอื่นๆ"

นายปณิธาน กล่าวอีกว่า โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี จะคุยเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เชื่อว่าเรื่องนี้หลายประเทศจะสนใจฟัง โดยจะมีนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ นายบิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ ประธานมูลนิธิบิล เกตส์ รวมไปถึงประธานบริษัทผลิตอาหารยักษ์ใหญ่หลายแห่งของสหภาพยุโรปเข้าร่วมด้วย


"โอกาสนี้นายอภิสิทธิ์ จะกล่าวถึงความได้เปรียบของไทยในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา ซึ่งเวลานี้หลายประเทศต้องการอาหารจากไทยเพราะมีหลายประเทศที่ประสบกับวิกฤติทางด้านอาหาร ก็จะระงับการส่งออกหรือไม่ก็ตั้งกำแพงภาษี โดยสรุปแล้วเวทีนี้ไทยจะมีบทบาทสูงในฐานะเป็นผู้ผลิตที่หลายประเทศสนใจ"




ส่วนช่วงเย็นนายอภิสิทธิ์ จะพูดคุยถึงบทบาทของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจโลก 20 ประเทศ ตรงนี้จะลงรายละเอียดของการปฏิรูปโครงสร้างทุนนิยม บทบาทของกลุ่มประเทศ G20 ที่ตกลงจะทำงานร่วมกันในเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบในแง่ทุนนิยม เรื่องการออมและการปฏิรูปสถาบันต่างๆ และทำตามนโยบายในการปรับปรุงโครงสร้างทุนนิยมโลกให้มีความเป็นธรรม และในช่วงค่ำจะมีการพบปะกับนักธุรกิจและผู้นำประเทศต่างๆ อีกครั้ง
"นายกรัฐมนตรีจะประกาศต่อหน้าซีอีโอบริษัทยักษณ์ใหญ่นานาประเทศว่า ประเทศไทยเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ รัฐบาลไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น-ระยะกลางออกมาแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับพอสมควรและอาจจะมีการกระตุ้นอีกระลอกหากไม่ได้ผล เพราะมีการคาดการณ์ว่าอีก 3-4 เดือนข้างหน้าจะหนัก ซึ่งอาจจะมีการทบทวนโครงการและผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนระยะกลาง และระยะยาวต่อ หลังจากนั้นเชื่อว่านานาประเทศจะเข้าใจว่าไทยกลับมาทำงานผลักดันนโยบายผ่านสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติ แม้ในทางการเมืองจะมีการชุมนุมประท้วงมีความเห็นแตกแยกกันบ้าง แต่ความร้อนแรงและการเผชิญหน้าก็ลดลงเรื่อยๆ การเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมารัฐบาลได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ที่เหนือความคาดหมาย ส่วนต่างประเทศก็ลดระดับการเฝ้าระวังของไทยลง รวมถึงยกเลิกมาตรการเตือนไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย อัตราของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยก็มากขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าด้านการเมืองและเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ”

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางแก้ไขปัญหาการเมืองโดยพยายามตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองจากคนที่ได้รับการยอมรับเพื่อมองหาแนวทางแก้วิกฤติทางการเมือง ตรงนี้ต่างประเทศจะมั่นใจว่า ไทยมีกระบวนการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ และรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆออกมาเป็นระยะเพื่อให้ต่างประเทศเห็นว่า ไทยมีความพยายามและความตั้งใจจริง

"ตอนนี้ต้องรอผลจากการทำงานเหล่านี้ในระยะเวลา 3-6 เดือนจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าน่าจะเห็นผลบ้างอย่างน้อยยังดีกว่าในช่วงที่เกิดความขัดแย้งที่อยู่ในสภาวะชะงักงัน อย่างไรก็ตามเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียว ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราทำทุกอย่างเต็มที่แล้วตลาดที่เราจะขายยังมีปัญหา ไทยก็ทำอะไรได้ไม่มากจึงใช้เวทีการประชุมดังกล่าวบอกให้นานาชาติรู้ว่าเราทำเต็มที่ และในฐานะไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนซัมมิต นานาประเทศคงอยากรู้ว่าไทยมีความคิดอย่างไรต่อประเด็นต่างๆในเวทีโลก"

หลังเดินทางกลับจากเวที WEF รัฐบาลจะประเมินการตอบรับของต่างประเทศ ซึ่งหากได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นจะใช้รูปแบบนี้ในเวทีอื่นๆ ต่อไปเพราะนายกรัฐมนตรีมีแผนที่จะเดินทางไปโรดโชว์ยังญี่ปุ่น และจีน รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียนหลายประเทศด้วย

"สมิทธ์"เตือนรับมือโลกร้อน 45 องศา-น้ำท่วมกรุงเทพฯ






หมวดข่าว : สังคม



โดยทีมข่าว : สังคม
คลื่นความร้อนที่ทำให้ชาวออสเตรเลีย ต้องออกมานอนรับลมใต้ร่มไม้ ตามชายหาด ส่งสัญญาณว่าโดกกำลังจะร้อนขึ้น กรณีนี้ นายสมิทธ์ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้เหตุผลว่า โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม และวงรี ซึ่งข้อมูลดาราศาสตร์ทั้งต่างประเทศและประเทศไทย



"ขณะนี้โลกใกล้ดวงอาทิตย์มาก ทำให้แกนโลกเอียงมากขึ้น โดยปกติจะเอียง 22.5 องศา แต่ขณะนี้เอียง 24 องศา ขั้วโลกเหนือจึงเย็นลงถึงเส้นศูนย์สูตร เกิดคลื่นซัดฝั่งตะวันออก เมื่อพ้นหน้าหนาว เข้าสู่เดือน ก.ค. แกนโลกที่เอียงออกจากดวงอาทิตย์ ก็จะเริ่มเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกภาคเหนือ รวมถึงประเทศไทย จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และร้อนขึ้นถึง 45 องศา"



ทั้งนี้ ทุกๆ 41,000 ปี แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์และตั้งตรง และขณะนี้ทางภาคอีสาน แถว จ.ศรีสะเกษ และใกล้เคียง แหล่งน้ำก็เริ่มแห้งแล้ว



นายสมิทธ์ กล่าวอีกว่า ที่กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า คงไม่ร้อนถึงขนาดนั้น เพราะมีปรากฏการณ์ "ลานินญ่า" ซึ่งเขาก็เห็นด้วย แต่เมื่อฤดูร้อนผ่านไป ไอร้อนที่อยู่ในพื้นผิวดินจะขึ้นมา เมื่อถึงหน้าฝนก็จะเกิดน้ำท่วมไหลหลาก เริ่มประมาณเดือน พ.ค. มิ.ย. และ ก.ค. ซึ่งทุกอย่างเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และในเดือน ส.ค. ก.ย. และ ต.ค. อาจจะเกิด "สตอมเซิส" แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูว่าหน้าร้อนนี้จะร้อนหนักหรือไม่



ส่วนน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั้น นายสมิทธ์ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นห่วง และพยากรณ์ว่า 15-20 ปีน้ำทะเลจะสูงขึ้น เพราะน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน ปริมาณน้ำท่วม และน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นก็มีโอกาสเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องดูระดับน้ำในอ่าวไทยว่าจะล้นสันดอนในปากน้ำหรือไม่ ถ้าล้นก็จะดันน้ำทะเลเข้ามาที่แม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะส่งผลกระทบทำให้ไม่มีน้ำประปาสำหรับใช้และดื่ม



ส่วนโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น มีนักวิทยาศาสตร์บางท่านบอกว่า หากแกนโลกเอียงมาก เปลือกโลกก็อาจจะเคลื่อนตัว และอาจะเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิ ตามมา ก็ได้