วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

นายกฯต้องสร้างมาตรฐานจริยธรรม

หมวดข่าว : วิเคราะห์
โดย กองบรรณาธิการ
เพียง 1 เดือน แทบไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเจอด่านทดสอบ "มาตรฐานจริยธรรม" ของคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลของเขา 2 คนคือนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย จากกลุ่มเพื่อนเนวิน และนายวิทูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยทั้ง 2 รายนั้นเป็นรัฐมนตรีมือใหม่ป้ายแดง
ทั้งนี้ กรณีของนายบุญจง นั้น นายกฯจะรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พิจารณาชี้ขาดเรื่องการแจกเงินแนบนามบัตรของนายบุญจง เข้าสู่การพิจารณา ถ้ามีการชี้มูลจริงก็ต้องมาพิจารณากัน แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามีการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องยอมรับการตรวจสอบดังกล่าว
"ถ้าป.ป.ช. ชี้มูลว่ามีความผิดนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะปรับครม. ซึ่งอันนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว "
ส่วนกรณีของนายวิฑูรย์ ซึ่งตอนนี้เริ่มขยายผลว่ามีคนในพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแจกปลากระป๋องเน่า นั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่า กำลังดูข้อมูลทั้งหมดและก็คิดว่าหลังจากที่กลับมาจากการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. นี้ ก็คาดว่าจากนั้นอีกไม่เกิน 1-2 วัน พรรคประชาธิปัตย์ จะมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องนี้
ทั้ง 2 กรณีนั้นพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นป.ป.ช.ไปแล้ว 1 เรื่อง และวันหรือสองวันี้ก็จะยื่นอีก 1 เรื่อง
ทั้ง 2 กรณี พุ่งเป้าความรับผิดชอบไปที่ตัวนายกรัฐมนตรี กับกฎเหล็กของนายกรัฐมนตรี การที่ปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือ มันจะเป็น "ไมล์สะสม" อย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน เพื่อไทย กล่าวเอาไว้ในรัฐสภา

เรื่องนี้ส่งผลต่อเสถียรภาพ และความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ว่า การตัดสินใจแก้ปัญหายังยึดตามมาตรฐาน 9 ข้อที่ได้มอบให้ครม.นำไปปฏิบัติ ไว้

เพราะฉะนั้น สัญญาณที่ส่งออกมาหมายถึงต้องการให้รัฐมนตรีทั้ง 2 คนแสดงสปิริตด้วยตัวเอง เพื่อสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง หรือนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ปรับทั้ง 2 คนออกจากตำแหน่ง เพื่อยกระดับมาตรฐาน มิให้คนที่มีรอยด่างเข้ามาปรากฎกายอยู่ในคณะรัฐมนตรี มิใช่การจำนนต่อความผิด เพราะการพิสูจน์ความผิดไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
แต่เวลานี้คนไทยต้องการเห็นมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองเหนือสิ่งอื่นใด

รวบแล้วเสี่ยเต้นท์รถนายทุนผลิตแบงค์ปลอม



หมวดข่าว : สังคม


โดยทีมข่าว : อาชญากรรม


เสี่ยเต้นท์รถนายทุนจ้างทำแบงค์ปลอมจนมุมพร้อมลูกน้อง ตำรวจโคราชรวบถึงบ้านย่านลาดพร้าว ของกลางเพียบ ยังปากแข็งปฏิเสธ ด้านลูกมือสารภาพสิ้นไส้ ปลอมทั้งแบงค์ไทย เขมร พม่า ไม่เว้นแม้ประเทศแถบแอฟริกาใต้ พาสปอต วีซ่า เอทีเอ็ม ผบช.ภ. 3 ระบุเป็นขบวนการใหญ่ระดับชาติ สร้างความสูญเสียให้เศรษฐกิจอย่างมาก
วันที่ 29 ม.ค. เมื่อเวลา 09.45 น. ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.นครราชสีมา และพ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา หัวหน้าชุดสืบสวนจับกุม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมขบวนการผลิตแบงค์ปลอม ได้ผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายศรรามณ์ หรือพงษ์เดช ติงวัฒนะ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 235 ซอยลาดพร้าว 115 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เสี่ยเต้นท์ขายรถยนต์มือสองนายทุนใหญ่ ที่สั่งผลิตแบงค์ปลอม นายอลงกต เที่ยงคืน อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12 ถ.ปทุมกรุงเทพฯ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ลูกน้องคนสนิทของนายศรรามณ์ และนางกัลยา ท่านมุข อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/2 หมู่ 5 ต.หนองปลาไหล อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ภรรยานายอลงกต


สำหรับของกลางที่ตรวจยึดครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้นเตอร์ เครื่องปั้มเอกสารนูน เครื่องตัดกระดาษ แผ่นฟรอยสีทอง แผ่นโลหะ เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด และอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้ในการผลิตธนบัตรปลอมของไทย กัมพูชา พาสปอต เอทีเอ็ม ตราประทับทางราชการประเทศต่างๆ และวีซ่าปลอมอีกหลายประเทศ รวม 48 รายการ


พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 51 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาได้บุกจับกุม นายสนอง เงินจันทร์ อายุ 54 ปี นายวิทยา บัวรอด อายุ 28 ปี และนายดำรงชัย มะยมหิน อายุ 35 ปี ได้ที่โรงพิมพ์เอ็มบางกอก เลขที่ 4032/2 ถ.จตุรทิศ แขวงดินแดง กรุงเทพฯ พร้อมยึดของกลางธนบัตรปลอมราคาฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 46 ฉบับ กระดาษชนิดมันที่ใช้ผลิตธนบัตรปลอมจำนวน 800 แผ่น แท่นพิมพ์จำนวน 2 แท่น แผ่นแถบสะท้อนแสง แผ่นเพลท สำหรับทำแม่พิมพ์ เครื่องอัดเพลท 1 เครื่อง เครื่องอคมพิวเตอร์ 2 ชุด เครื่องปริ๊นเตอร์สี 2 เครื่อง สีกระป๋องที่ใช้พิมพ์ธนบัตร ที่รองกระดาษ กาวทาเพลท และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตธนบัตรปลอมรวมอีกกว่า 10 รายการ


ครั้งนั้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ร่วมกันผลิตธนบัตรปลอมมานานหลายเดือนแล้ว โดยมีนายทุนใหญ่คือนายพงษ์เดช เจ้าของเต้นท์รถมือสองในเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และนายอลงกต เป็นผู้ว่าจ้างให้ผลิตธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 10,000 ฉบับ แลกกับเงินค่าจ้างจำนวน 200,000 บาท


ต่อมาศาลจังหวัดนครราชสีมา ได้ออกหมายจับนายอลงกต และทีมสืบสวนได้ตามแกะรอยนานนับเดือน กระทั่งสามารถจับกุม นางกัลยา ภรรยาของนายอลงกต ได้เป็นคนแรก เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 52 ที่บ้านพักภายในหมู่บ้านอัมรินทร์ แขวงสายไหม โชคชัย 4 กรุงเทพฯ จากนั้นชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมนายอลงกต ได้ในค่ำวันเดียวกัน ขณะกบดานอยู่ภายในบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยลาดพร้าว-วังหิน 62 โชคชัย 4 กทม. จนกระทั่งคืนวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงติดตามจับ นายพงษ์เดช ที่เปลี่ยนชื่อเป็น นายศรรามณ์ ไว้ได้ภายในบ้านพักเลขที่ 235 ซอยลาดพร้าว 115 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ


สอบสวนนายอลงกต สารภาพว่า นายศรรามณ์ สัญญาว่าจะให้บ่อปลา 1 บ่อ ย่าน ต.บางปรอก จ.ปทุมธานี เป็นค่าจ้าง ในการไปว่าจ้างพรรคพวก 3 คนที่ถูกจับก่อนหน้านี้ พิมพ์ธนบัตรปลอมที่โรงพิมพ์เอ็มบางกอก กรุงเทพฯ จำนวน 10,000 ฉบับ มูลค่ารวม 10 ล้านบาท ด้วยเงินค่าจ้าง 2 แสนบาท จากนั้นจะมีลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ภาคอีสาน เหนือ และใต้ ที่สั่งซื้อมารับธนบัตรปลอมไปกระจายสู่ตลาดอีกครั้ง


นายอลงกต สารภาพว่า นอกจากนี้นายศรรามณ์ ยังได้สั่งให้ผลิตธนบัตรปลอมอีกหลายประเทศ อาทิ แบ็งค์กีนี (แอฟริกาใต้ ธนบัตรกัมพูชา และธนบัตรพม่าตลอดจนพาสปอต วีซ่า และเอทีเอ็มปลอมอีกหลายประเทศตลอดจนบัตรประชาชน และหลักฐานสำคัญอื่นๆอีกหลายรายการ ส่วนนางกัลยาภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตธนบัตรปลอม เป็นเพียงคนช่วยขนสิ่งของหลบหนี ระหว่างที่นายอลงกตถูกตำรวจติดตามจับกุมตัวเท่านั้น


พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวว่า เบื้องต้นนายอลงกต ให้การรับสารภาพและให้การซัดทอดนายศรรามณ์ว่าเป็นนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการผลิตธนบัตรปลอมระดับชาติครั้งนี้ แต่ตัวนายศรรามณ์ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อหาและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น แต่ตำรวจมีหลักฐานพยานแน่นหนาสามารถดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน


"สำหรับการจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นการถอนรากถอนโคนขบวนการผลิตแบงค์ปลอม ที่ถือว่าเป็นขบวนการระดับชาติ เพราะจากการสืบสวนและพบหลักฐาน มีการผลิตธนบัตรปลอมของต่างชาติอีกหลายประเทศ พร้อมเอกสารสำคัญอย่างอื่น เช่น พาสปอต วีซ่า บัตรประชาชน เอทีเอ็ม และตราประทับทางราชการของประเทศต่างๆอีกหลายรายการ ขบวนการผลิตธนบัตรปลอมนี้ สร้างความเสียหายในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศอื่นๆตำรวจจะได้ประสานกับประเทศที่เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป " พล.ต.ท.กฤษฏากล่าว

"สุเทพ"ต่ออ๊อกซิเจน"วิฑูรย์"ให้โอกาสแจงปลากระป๋องเน่า



หมวดข่าว : การเมือง


โดยทีมข่าว : ทำเนียบรัฐบาล


แม่บ้านรัฐบาล ยังให้โอกาส "วิฑูรย์ นามบุตร" แจงถุงปลิดชีพซุกปลากระป๋องเน่า ก่อนตัดสินใจถอดไม่ถอดสายอ๊อกซิเจน ปฏิเสธ "สุทัศน์" เคลื่อนไหวเปลี่ยนตัวรมว.พม.


วันนี้ (29) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหลังกลับจากเมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ จะชัดเจนกรณีเรื่องการแจกปลากระป๋องเน่า ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปรวบรวมหลักฐานเอกสารข้อมูลทั้งหมดมาชี้แจงว่ามีความถูกหรือผิดตรงไหนอย่างไร รวมทั้งต้องชี้แจงเรื่องต่อรัฐสภาและประชาชน


นอกจากนี้ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ด้วย แต่ก็ให้โอกาสนายวิฑูรย์ ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานก่อน และหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากต่างประเทศ เราก็คงจะได้รู้ว่าเอกสารหลักฐานทั้งหลายที่นายวิฑูรย์ นำมาแสดงนั้น เป็นเหตุเป็นผลขนาดไหน


ผู้สือข่าวถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้อาจจะมีการตีความได้ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณให้นายวิฑูรย์ เตรียมตัวแสดงสปิริต เพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ นายสุเทพ กล่าวว่า เราเป็นคนนอก ทุกคนไม่ได้อยู่ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิฑูรย์ เป็นคนที่รู้เรื่องดีที่สุด ก็แล้วแต่นายวิฑูรย์ จะพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไร ในเบื้องต้นเราก็ให้โอกาส ไม่ใช่ว่าพอโดนกล่าวหาแล้วเราจะไปเล่นงานเขา เราให้โอกาสนายวิฑูรย์ได้ไปรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดนำมาแสดง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อน


ต่อข้อถามเรื่องนี้มีการปล่อยให้สังคมคลางแคลงใจมากขึ้น จากเดิมบอกว่าอาจจะเป็นการจัดซื้อรายย่อยด้วยวิธีพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวเลขดูมาก แล้วก็กลายเป็นการจัดซื้อแล้วตั้งเบิกย้อนหลัง ในส่วนนี้รัฐบาลจะสั่งการให้มีการตรวจสอบอย่างไรหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ทำ เราต้องให้ความนับถือกัน นายวิฑูรย์ ก็เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่ง เมื่อโดนกล่าวหา เขาต้องประมวลข้อกล่าวหาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาโดยสื่อ ฝ่ายค้าน เขาต้องออกมาแยกแยะชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีเป็นข้อ ๆ ไป พวกเราก็จะดูตามคำชี้แจงเหล่านั้นว่าฟังขึ้นหรือไม่อย่างไร ก็ต้องให้โอกาสเขา เพราะถ้าฝ่ายค้านกล่าวหาใครแล้วเราเล่นงานหมด เราก็แย่


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายวิฑูรย์ก็ชี้แจงมาหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ชัดเจนสักครั้งเลย นายสุเทพ หัวเราะและกล่าวว่า “เดี๋ยวค่อยมาถามเขาทีหลังก็ได้ ”


ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เคลื่อนไหวเพื่อต้องการเปลี่ยนตัวให้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน หรือนายนิพนธ์ บุญญามณี เข้ามาทำหน้าที่แทนนั้น เป็นความจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีมูลเลยและไม่จำเป็นต้องสอบถามนายสุทัศน์ เพราะนายสุทัศน์ ไม่ได้มีหน้าที่อะไรในพรรคประชาธิปัตย์ที่จะทำเรื่องนี้ คนที่จะมีหน้าที่ทำเรื่องนี้อันดับแรกคือคณะกรรมการบริหารพรรค 19 คน ซึ่งนายสุทัศน์ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ส่วนตัวเขา นายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรค รองเลขาธิการพรรคนั้น เป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้น จึงไม่เชื่อเรื่องข่าวนี้ เพราะว่านายสุทัศน์ไม่ได้มีหน้าที่


ต่อข้อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่านายวิฑูรย์ เป็นเด็กในสายของท่านอาจจะไม่มีใครกล้ามาแตะต้อง นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่จริง เขามักจะโดนอย่างนี้ พอใครมีปัญหาก็โยนมาใส่สายของเขาก่อน ทั้งที่ความจริงเขาก็ดูแลคนทั้งพรรค พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีสายคนนั้นคนนี้หรือก๊วนนั้นก๊วนนี้ เขาเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องดูแลทุกคน

ถกเดือด 11 ชั่วโมง "สภาฯ ” ผ่านงบฯกลางปี 2552


หมวดข่าว : การเมือง


โดยทีมข่าว : รัฐสภา


ส.ส.ถกเดือด 11 ชั่วโมง ก่อน “ สภาฯ ” ผ่านงบฯกลางปี 2552 “ อภิสิทธิ์ ” แฉปิดท้าย ซัดรัฐบาลเก่า ถลุงงบกลางไปแล้ว 2 ใน 3 เหลือให้ ปชป.แค่ส่วนเดียว อ้างงานวิจัยสหรัฐฯ เชื่อ ชาวบ้านได้เงินนำใช้จ่ายไม่ออม


ที่รัฐสภา เวลา 24.00 น. วันที่ 28 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงปิดท้ายการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ.2552 ว่า แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นไม่ได้มีเฉพาะแผนงบประมาณที่เสนอต่อสภาวันนี้ แต่ยังมีเงินหลายกลุ่มที่จัดอยู่นอกงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือการผลิต โดยเฉพาะเกษตรกร รัฐบาลนี้ได้ทุ่มเทการแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตรทั้งหมด 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณทั้งหมดใน พ.ร.บ.นี้ ยังไม่นับการอนุมัติ 600 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนกองทุนฟื้นฟูเฉพาะที่กำลังจะถูกยึดที่ดิน


นอกจากนี้ยังมีโครงการเศรษฐกิจพอเพียงที่จะลงไปสู่ภาคชนบท ซึ่งยอมรับว่าเป็นการต่อยอดมาจากนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน แต่อะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็จะทำ โดยโครงการเศรษฐกิจพอเพียงจะบริหารจัดการให้ตรงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้มากที่สุด โดยใช้เงินเพื่อความยั่งยืนจริงๆ รวมทั้งรัฐบาลยังทุ่มเงินนอกงบประมาณฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ลดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าอากาศยาน ยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกิจโรงแรม และรัฐบาลนี้จะดำเนินการเพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อด้วยความมั่นใจมากขึ้น


ส่วนกรณีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการจ่ายเงินเข้ากระเป๋าประชาชนในหลายกลุ่มนั้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ชัดเจน ที่หลายคนแย้งว่าประชาชนจะไม่ใช้เงินแต่จะนำไปออม ซึ่งจากผลการวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าคนยิ่งจนเท่าไหร่ยิ่งใช้มากเท่านั้น ซึ่งคนไทยจนกว่าคนสหรัฐฯจึงเชื่อว่าจะใช้เงินที่ได้รับอย่างแน่นอน


ต่อกรณีที่ฝ่ายค้านวิจารณ์การตั้งงบกลางจำนวน 4 พันล้านบาทมากระจุกอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี นั้น ไม่ได้กันไว้ เพื่อใช้ตามใจชอบแต่ต้องสำรองไว้ เพราะตัวเลขงบประมาณตามนโยบายหลายตัวยังไม่นิ่งเช่นนโยบายจ่ายเงิน 2 พันบาท หากยังมีช่องโหว่ตรงไหนก็จะใช้งบกลางเข้าไปเสริมได้ทันที และงบกลางของรัฐบาลนี้เหลือเพียง 1 ใน 3 เพราะ 2 ใน 3 นั้นรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ได้ใช้ไปแล้ว


"มีการตั้งข้อสังเกตว่างบกลาง 4 พันล้าน เป็นเพราะผมอยากใช้ตามใจชอบ เรียนว่าที่สำรองเพราะตัวเลขหลายอย่างยังไม่นิ่ง อาทิเช่น เบี้ยยังชีพ หรือนโยบายจ่ายเงิน 2 พันบาทหากไม่ทั่วถึงก็ให้ดึงจากงบกลางไปใช้ วันนี้รัฐบาลบที่แล้ว (พลังประชาชน) ใช้งบฯ ไปแล้ว 2 ใน 3 รบ.นี้เหลือ 1 ใน 3


นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า สถานการณ์การเงินของเราขณะนี้ทำให้ต้องคิดถึงการกู้เงินจากต่างประเทศ เพราะเรายอมรับว่าจะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 10 เปอร์เซ็นต์ เราจะไม่พูดเท็จต่อสถานการณ์จริง แต่ถึงจะเกิดความผันผวนในเศรษฐกิจโลกเราได้มีแผนรับมือทุกอย่างไว้แล้ว ไม่ว่าการขนส่งขนาดใหญ่รถไฟ รถไฟฟ้า ก็ยังอยู่ครบถ้วน แต่ที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือเราต้องมุ่งเน้นให้คนมีกำลังซื้อเพื่อพยุงให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 01.30 น. บรรยากาศการประชุมเริ่มโกลาหลขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อนายชินวรณ์ บุญเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ได้เสนอให้ปิดการอภิปราย โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นด้วยแต่นายวิโรจน์ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคชาติไทยพัฒนา พยายามที่จะอภิปรายอยู่เป็นเวลาร่วมสิบนาที จนในที่สุดนายชัย ต้องขอให้นายชินวรณ์ ถอนญัตติปิดอภิปรายแล้วให้นายวิโรจน์ อภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับงบประมาณในการอบรมฝีมือแรงงานการท่องเที่ยว ในที่สุดนายชินวรณ์ ได้เสนอญัตติปิดการอภิปรายอีกครั้ง โดยก่อนลงมตินายชัย ได้ขอตรวจสอบองค์ประชุมปรากฏว่าในห้องประชุมมีส.ส.ทั้งหมด 257 คน จากนั้นเวลา 00.45 น. ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการด้วยเสียง 238 ต่อ 1 งดออกเสียง 4 และไม่ออกเสียง 15 เสียง โดยมีผู้ลงคะแนนทั้งหมด 258 คน


ต่อมาที่ประชุมได้ ตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญ จำนวน 35 คน โดยมาจากพรรคเพื่อไทย 10 คน พรรคประชาธิปัตย์ 10 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 2 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 1 คน พรรคกิจสังคม 1 คน พรรคประชาราช 1 คน ราษฎร 1 คน พรรคละ 1 คน กำหนดการแปรญัตติภายในเวลา 5 วัน และได้นัดประชุมกมธ.นัดแรกวันพฤหัสบดีที่ 29 ม.ค.เวลา 15.00 น. ในที่สุดเวลา 01.00 น.นายชัย สั่งปิดการประชุมในเวลา 01.00 น. รวมเวลาการพิจารณาพ.ร.บ.ฉบับนี้ทั้งหมด 11