วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์คนใหม่

นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผู้ที่ยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการทุจริตเรื่องการขายทอดตลาดในกรมบังคับคดี แต่สุดท้ายโดนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง จึงต้องขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีกับนายสมชาย ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปราบปรามการทุจริตในวงราชการ นี่กำลังจะเป็นแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ คนต่อไปหรือไม่



การร้องเรียนทุจริตภายในกรมบังคับคดี เพราะผมเห็นความถูกต้องหลายประการ ผมพยายามร้องขอให้ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตอนนั้นยังไม่แยกออกจากศาลยุติธรรม ตรวจสอบภายในก่อน แต่ดูเหมือนเรื่องจะล่าช้า ผมก็ต้องทวงถามหลายครั้ง
ผลของการร้องเรียน และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ผมมาโดนนายมานิตย์ สุธาพร ขณะนั้นเป็นรองอธิบดีกรมบังคับคดี ฟ้องผมทั้งคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ผมไม่มีปัญหาหาที่ไหนไปจ่ายให้ขนาดนั้นหรอก แกล้งไปฟ้องผมในคดีอาญาที่ศาลต่างจังหวัด ฐานหมิ่นประมาท ฟ้องผมในศาลอาญากรุงเทพฯใต้ รวมแล้ว 3 คดี
แต่ตอนนี้ผมค่อยยังชั่วแล้ว เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าที่ผมทำไปผมไม่ได้หมิ่นประมาทใคร ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องการให้คุณสมชาย ยืนยันเอกสารบางอย่างที่ผมเชื่อว่ามีความผิดปกติ ซึ่งคุณสมชาย น่าจะรู้ดี
เมื่อร้องภายในไม่คืบหน้า ผมก็ร้องไปที่ป.ป.ช. อีกหลายครั้ง
โดยเมื่อปี 2543 ผมได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สอบสวนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ตำแหน่งในขณะนั้น) กรณีที่นายสมชาย ตั้งกรรมการสอบวินัย ผม อันสืบเนื่องมาจากการที่ผมเป็นผู้ร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลกรณีที่กรมบังคับคดี ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์ที่ดินคลองหลวง เอ่ยอย่างนี้ทุกคนอาจจะไม่รู้แต่ถ้าบอกว่า เป็นที่ดินตลาดไทในปัจจุบัน ทุกคนจะร้องอ๋อ โดยตามคำพิพากษาศาลจังหวัดธัญญบุรี การขายทอดตลาดต้องวางค่าธรรมเนียม แต่มีการสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมให้ผู้ชนะการประมูล ราชการจึงได้รับความเสียหาย
ที่ผมต้องร้องเพราะผมโดนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เสนอ คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ให้ไล่ออกจากราชการ ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเพราะการเสนอให้ไล่ผู้พิพากษาคนหนึ่งออกจากราชการ จะต้องเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก แต่กรณีของผม ทำเรื่องนี้เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ไม่ได้ทำเพื่อตัวผมเอง
แต่ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ว่าเมื่อนายสมชาย เสนอให้ไล่ผมออกจากราชการแล้วมีการถวายฎีกา แต่ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทำให้ผมยังอยู่ในอาชีพนี้ ในวันนี้
กรณีนี้ความจริงจะได้รับการเปิดเผยในอีกไม่นานนี้ ผมอยากให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเรื่องนี้โดยเร็ว
เพราะในเดือนตุลาคม ผมจะขอให้ศาลแพ่ง เรียกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี มาเบิกความในศาลแพ่ง ในคดีที่ผมโดนนายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ซึ่งผมไม่หนักใจคดีนี้เพราะป.ป.ช.ได้ชี้มูลว่านายมานิตย์ มีความผิด อันเป็นมูลเหตุมาจากกรณีที่ผม ออกมาเปิดโปงเรื่องไม่ชอบมาพากลในกรมบังคับคดี
แต่ที่ผมไม่สบายใจก็คือการโยนความผิดให้คนตาย
อย่างไรก็ตาม ผมเตรียมเอกสารหลักฐานบางอย่างให้คุณสมชาย ยืนยันในชั้นศาล ว่า เชื่อหรือไม่ว่า บัญชีธนาคารมูลนิธิประมาณ ชันซื่อ ที่ธนาคารไม่ยอมมอบต้นฉบับให้ศาล แต่ถ่ายเอกสารส่งเป็นสำเนา แล้วมีตัวเลขหายไปแถบหนึ่ง เจ้าหน้าที่ธนาคารอ้างว่าเป็นเพราะเครื่องถ่ายเอกสารเสีย
นอกจากนั้น ผมยังต้องการถามนายสมชาย ว่า เชื่อตามที่คุณมานิตย์ กล่าวอ้างหรือไม่ว่า บัญชีมูลนิธิประมาณ ชันซื่อ ซึ่งเก็บอยู่ในห้องทำงานคุณมานิตย์ ที่อยู่ชั้น 11 อาคารศาลอาญา โดนเผาเพราะเกิดไฟไหม้ห้องทำงาน อยากทราบว่านายสมชาย ซึ่งอยู่ชั้น 13 ตึกเดียวกัน รู้เรื่องนี้หรือไม่ แล้วเชื่อด้วยหรือไม่ว่าเกิดไฟไหม้จริง
เรื่องนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลว่า นายมานิตย์ สุธาพร รองอธิบดีกรมบังคับคดี ในขณะนั้น มีความผิดและต่อมากระทรวงยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้นายมานิตย์ ออกจากราชการ แต่สำหรับผม ซึ่งเป็นผู้ร้องนายสมชาย ให้ตั้งกรรมการสอบสวนผม เท่ากับว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การที่ผมโดนนายสมชาย สั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก คนที่ปกป้องประโยชน์ของทางราชการ กลับโดนตั้งกรรมการสอบวินัย
คดีนี้มีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าคดีที่อดีตนายกรัฐมนตรี (สมัคร สุนทรเวช) โดนตัดสินว่าขาดคุณสมบัติเพราะจัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปกป้องคนที่กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ในวงราชการ ซึ่งผมทราบว่าในส่วนที่เป็นข้าราชการพลเรือนคือนายมานิตย์ กฎหมายให้ลงโทษไล่ออก ปลดออก แต่สำหรับอธิบดีซึ่งเป็นตุลาการ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) กำลังตั้งกรรมการสอบสวนอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี คนดังกล่าว
นอกจากการไล่ออกแล้ว ยังจะต้องมีการเรียกเอาเงินคืนแผ่นดิน และในขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผมก็ทำหนังสือถามไป นายสมพงษ์ ให้เลขานุการรัฐมนตรี ตอบคำถามของผม ว่า เรื่องการหาคนเพื่อรับผิดทางแพ่ง กรณีกรมบังคับคดี ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์ อยู่ระหว่างดำเนินการ
ผมก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินการนายแค่ไหน เพราะผมทวงกับทุกรัฐมนตรี
กรณีคดีแพ่ง ที่กรมบังคับคดี ไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์ 45 ล้านบาท หากคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ รวมแล้วเป็นเงินกว่า 90 ล้านบาท เรื่องนี้จะต้องหาคนรับผิดชอบในการคืนทรัพย์ให้แผ่นดิน และผมเห็นว่า นายสมชาย จะต้องเป็นผู้หนึ่งที่ต้องร่วมชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวด้วย
และภายหลังที่คุณมานิตย์ โดนป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2549 กรมบังคับคดีได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2550 ให้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์
กรณีที่ผมร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. หากป.ป.ช.ชี้มูลว่านายสมชาย มีความผิดจะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะตามกฎหมายแล้วให้ถือตามช่วงเวลาที่มีการชี้มูล ซึ่งตอนนี้นายสมชาย เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ตอนที่กระทำความผิดเป็นข้าราชการ แต่ในช่วงที่มีการชี้มูล นายสมชาย เป็นนักการเมือง จึงจะต้องขึ้นศาลฎีกานักการเมือง
คดีนี้เป็นเรื่องข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปราบปรามขบวนการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ ซึ่งถือเป็นปัญหาการคุณธรรมและจริยธรรมที่ข้าราชการจะต้องมี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความกันไม่ได้