วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

เย้ยพ.ร.ก.ฉุกเฉินยิงถล่ม"สนธิ"เจ็บ

หมวดข่าว : อาชญากรรม

โดย ทีมข่าว : อาชญากรรม

เย้ยกฏหมายพ.ร.ก.ฉุก มือปืนขับวีโก้ขนอาวุธสงคราม ทั้งอาก้า-เอ็ม 16 ยิงถล่ม "สนธิ ลิ้มทองกุล"แยกบางขุมพรหม กว่า 100 นัด เจ็บ 3 "สนธิ" รอดปาฏิหารย์ คมกระสุนพุ่งเข้าไหล่-เฉียดคิ้ว ตำรวจฟันธงมุ่งเอาชีวิต
บางขุนพรหม วันนี้ 17 เมษายน เวลา 05.30 น.ร.ต.อ.ประกอบ เย็นหลักร้อย พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม รับแจ้งเกิดเหตุคนร้ายยิงรถนายสนธิ ลิ้มทอง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ บริเวณหน้าวัดเอี่ยมวรนุช แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม.รุดไปตรวจสอบ โดยมีพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ที่เกิดเหตุ พบรถยนต์โตโยต้าอัลพาต สีดำ ทะเบียน วร 89 กทม.จอดนิ่งอยู่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สภาพด้านหน้ารถถูกยิงเป็นรูพรุน ฝากระโปรงหน้ารถมีรอยกระสุนกว่า 60 นัด กระจกด้านซ้ายและหลังแตกละเอียดทั้งบาน ยางทั้ง 4 ล้อแตกแฟบ พื้นถนนมีคราบน้ำมันไหลเจิ่งนอง ภายในรถพบคราบเลือดจำนวนมาก ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกนำส่ง รพ.วชิรพยาบาล และนายอดุลย์ แดงประดับ อายุ 28 ปี คนขับรถ และนายวายุภักดิ์ มัสธสินธุ์ อายุ 40 ปี ทั้งสองถูกนำส่ง รพ.มิชชั่น ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนสงครามทั้งอาก้าและเอ็ม 16 กว่า 100 นัด
สอบสวนพยานผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า ขณะรถของนายสนธิขับมาตามถนนสามเสนมุ่งมาทางบางลำภู ได้มีรถของคนร้ายขับตามประกบ เป็นรถปิกอัพ โตโยต้าวีโก้ 2 ประตู สีบรอนซ์ทอง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เมื่อมาถึงบริเวณใกล้กับปั๊มคาลเท็กซ์ สี่แยกบางขุนพรหม แล้ววิ่งแซงซ้ายไปจอดห่างจากรถของนายสนธิประมาณ 15 เมตร จากนั้นคนร้าย 2 คนที่หลบอยู่ด้านหลังรถกระบะได้นั่งประทับยิงใส่ล้อรถนายสนธิจำนวน 7 นัดเพื่อให้ยางแตกก่อนที่จะระดมยิงเข้าใส่รถของนายสนธิกว่า 100 นัด จากนั้นก็ขับรถหลบหนี โดยใช้เส้นทางมุ่งหน้าบางลำภู และพยานยังระบุว่าคนร้ายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพราง อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์นายสนธิซึ่งนั่งอยู่เบาะกลางของรถคันเกิดเหตุลงมายืนดูก่อนที่จะมีรถเก๋งที่วิ่งตามมานำ ส่ง รพ.เบื้องต้นสันนิษฐานว่ามือปืนน่าจะเป็นมืออาชีพ และมุ่งหวังจะเอาชีวิตเป้าหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุนายสนธิเดินทางออกจากบ้านพักย่านสุโขทัยเพื่อไปบันทึกรายการ"มอนิ่งทอล์ก"เอเอสทีวี

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.45 น. ด้วยสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย และตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเหตุการณ์ลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ได้รับรายงานแล้ว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยที่โรงพยาบาลแล้ว

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวเพียงสั้น ๆ ในเรื่องเดียวกันว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะแถลงเอง

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นเหตุทำให้รัฐบาลยังต้องคงประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวเลี่ยงว่า เดี๋ยวจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องเขาออกมาแถลงข่าวเอง ถ้าพูดกันหลายคนจะสับสน

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เหตุลอบยิงนายสนธิ จะมีผลกระทบต่อการพิจารณายกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่แต่เดิมจะมีการพิจารณาในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่จะมีขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 09.00 น.วันนี้ แน่นอน

ด้านเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุคนร้ายขับรถกระบะ โตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบทะเบียน ลอบยิงนายสนธิ ขณะนั่งอยู่ในรถตู้โตโยต้า แอลพาร์ด สีดำ ทะเบียน วล 89 กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand เมื่อช่วงเวลา 05.30 น. จนได้รับบาดเจ็บ พร้อมคนติดตามและคนขับรถที่มีอาการสาหัส โดยนายสนธิ ได้รับการส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานเป็นปลอกกระสุนปืน ชนิดอาก้า และเอ็ม-16 ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก ขณะที่ตำรวจเชื่อว่าเหตุลอบยิงในครั้งนี้คนร้ายมีเป้าหมายต่อชีวิตของนายสนธิ

ทั้งนี้ จากการสอบถามพยานที่เห็นเหตุการณ์ เป็นคนขับรถประจำทาง สาย 53 ระบุว่า เห็นคนร้ายยิงเข้าที่บริเวณกระจกหน้ารถจำนวน 2 นัด ก่อนหลบหนีไป ล่าสุด พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลวชิรพยาบาลแล้ว

นอกจากนี้พยานผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า ขณะรถของนายสนธิ ขับมาตามถนนสามเสน มุ่งมาทางบางลำภู ได้มีรถของคนร้ายขับตามประกบ เป็นรถปิกอัพ โตโยต้าวีโก้ 2 ประตู สีบรอนซ์ทอง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เมื่อมาถึงบริเวณใกล้กับปั๊มคาลเท็กซ์ สี่แยกบางขุนพรหม แล้ววิ่งแซงซ้ายไปจอดห่างจากรถของนายสนธิประมาณ 15 เมตร จากนั้นคนร้าย 2 คนที่หลบอยู่ด้านหลังรถกระบะได้นั่งประทับยิงใส่ล้อรถนายสนธิจำนวน 7 นัดเพื่อให้ยางแตกก่อนที่จะระดมยิงเข้าใส่รถของนายสนธิกว่า 100 นัด จากนั้นก็ขับรถหลบหนี โดยใช้เส้นทางมุ่งหน้าบางลำภู และพยานยังระบุว่าคนร้ายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพราง

"บรรณวิทย์" แนะรัฐสรุปบทเรียนป้องกันจลาจลซ้ำ

พลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เปิดเผยว่าขณะนี้แม้ว่าเหตุการณ์จลาจลจะได้ยุติลงแล้ว แต่อย่าเพิ่งคลายใจ เพราะยังมีการชุมนุมอยู่ที่สนามหลวง และพร้อมจะกลายเป็นการจลาจลได้อีก รัฐควรสรุปบทเรียนป้องกันเหตุร้ายก่อน ดีกว่าที่จะตามไปแก้ไขทีหลัง
พลเรือเอก บรรณวิทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีประกาศกฎหมายบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ แต่ม็อบทักษิณก็ยังคงฝ่าฝืนและยังคงชุมนุมกลุ่มย่อยอยู่ที่สนามหลวง มีการใช้วิทยุชุมชนปลุกระดมอยู่ตลอดเวลา โดยที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และรัฐบาลไม่จัดการใด ๆ จึงอาจกลายเป็นการชุมนุมใหญ่เมื่อใดก็ได้ และเหตุร้ายแรงก็จะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในทันทีที่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งประชาชนมีความวิตกกังวลมาก เพราะห่วงว่ารัฐบาลไม่ยอมสรุปบทเรียนก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้มีการชุมนุมและปลุกระดม ซึ่งแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการล้มล้างการปกครอง มีการยัดเยียดข้อมูลที่ผิด ๆ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อเข้าร่วมจำนวนมาก
ขณะนี้ประเทศก็พังพินาศมากพอแล้ว หากรัฐบาลไม่สรุปบทเรียนและไม่คิดอ่านป้องกันแก้ไข คนไทยคงต้องเตรียมกองกำลังติดอาวุธไว้ป้องกันตัว เพราะบทเรียนที่ผ่านมาพิสูจน์ว่าตำรวจดูแลความปลอดภัยประชาชนไม่ได้ บ้านเรือนประชาชนมีความเสี่ยงที่จะถูกเผาทุกเมื่อ และประชาชนเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายได้ทุกเมื่อ ร้านค้าต่าง ๆ ก็พากันเดือดร้อน ที่ผ่านมาเกิดเหตุร้ายแรงขนาดใหญ่จนชาติย่อยยับเพราะรัฐบาลประเมินสถานการณ์ผิด คราวหน้าอาจจะรุนแรงกว่านี้อีก จะรอให้เกิดเหตุอย่างนั้นขึ้นมาหรือจะป้องกันแก้ไขก่อนเป็นเรื่องที่ต้องสังวรให้มาก
พลเรือเอก บรรณวิทย์ เตือนประชาชนคนไทยทั่วประเทศว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเพราะระบอบทักษิณที่เปิดศึกหลายด้าน ในสภาก็ใช้พรรคการเมือง ในวงราชการก็ใช้ข้าราชการที่มีผลประโยชน์ร่วม ใช้กลไกแท็กซี่และมอเตอร์ไซต์รับจ้าง โดยผ่านตำรวจบางคนจัดการให้ และยังมีเครือข่ายสื่อรับจ้างทั้งในประเทศและนอกประเทศช่วยกันให้ข้อมูลผิด ๆ ทำให้คนไทยแตกความคิด แตกสามัคคีแล้วฆ่ากันเอง ทราบว่ามีการตั้งกองกำลังติดอาวุธไว้แล้ว และยังมีกองกำลังสมทบจากนักรบรับจ้างต่างชาติที่พร้อมจะแทรกตัวเข้ามาทันทีที่มีเหตุการณ์ไม่สงบ
สถานการณ์น่าห่วงมาก แต่รัฐบาลกลับแสดงความเป็นประชาธิปไตยจ๋า โดยใช้ประเทศไปเสี่ยงและใช้ชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนเป็นเดิมพัน อยากวิงวอนให้รัฐบาลเร่งรีบจัดการป้องกันแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่จะมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ฟ้องมุสลิมโลก"แม้ว"ศัตรูอิสลาม

คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อรายงานต่อเจ้าผู้ครองนครดูไบว่า ทักษิณคือศัตรูของเอกองค์
หนังสือของคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครระบุว่า "คนเสื้อแดงได้ก่อวินาศกรรมทำลายทรัพย์สินของประชาชน และเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2009 ลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ คนเสื้อแดงได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่มัสยิดดารุ้ลอะมาน ถนนเพชรบุรี ซอย 7 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในเวลาอัศรี โดยใช้กำลังประมาณ 100 กว่าคนเข้าทำลายทรัพย์สินของพี่น้องมุสลิม ทั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย รถยนต์ สุดท้ายได้ประกาศจะเผามัสยิด แต่พี่น้องมุสลิมได้รวมพลังกันต่อสู้คณะลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดความสามารถ ในที่สุดคนดังกล่าวได้ล่าถอย
จากพฤติกรรมทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ พวกเราชาวมุสลิมในประเทศไทยขอเรียกร้องด้วยพระนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตากรุณายิ่งมาถึงเจ้าผู้ครองนครรัฐแห่งดูไบได้โปรดพิจารณายุติการให้ความช่วยเหลือหรือการให้ที่พักพิงหรือการอนุญาตให้บุคคลผู้ก่อกรรมทำเข็ญกับพี่น้องมุสลิมและเป็นผู้ทำลายมัสยิดของอัลเลาะห์เข้าประเทศของท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ..." และยังมีข้อความที่กล่าวหาอย่างรุนแรง โดยได้ลำดับเหตุการณ์ที่เข่นฆ่าสังหารชาวมุสลิมหลายวาระ และการระดมยิงใส่มัสยิดถึง 2 ครั้ง ซึ่งไม่อาจนำรายละเอียดลงในที่นี้ได้ ท่านผู้สนใจสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ไทย
จากกรณีการยกขบวนเข้าไปยิงมัสยิดที่ถนนเพชรบุรี ซอย 7 ตลอดจนการทำลายทรัพย์สินของชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก ได้ทำให้ชาวมุสลิมทั่วทั้งกรุงเทพฯ และทั่วประเทศตื่นตัวลุกฮือประณามและต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ครั้นทราบเหตุการณ์แล้วก็พากันถอนตัวออกจากขบวนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พำนักอยู่ในกรุงดูไบ และถูกถอนพาสปอร์ตไทยเรียบร้อยแล้ว แต่อาจใช้พาสปอร์ตของชาติอื่นแทน การเคลื่อนไหวของชาวไทยมุสลิมครั้งนี้อาจเป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ไม่สามารถพำนักอยู่ในตะวันออกกลางได้ต่อไปอีก เพราะสำหรับชาวมุสลิมนั้นการยิงมัสยิดถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมัสยิดถือว่าเป็นบ้านของพระเจ้า ซึ่งมุสลิมทั่วโลกให้ความเคารพและละเมิดมิได้
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงได้เปิดเผยว่า ให้จับตาดูให้ดี ในไม่กี่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจถูกจับตัวโดยตำรวจสากลเพื่อนำตัวส่งกลับมาลงโทษในประเทศไทยก็ได้

เลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินชาวบ้านจะอยู่อย่างไร

ข่าวรัฐบาลเตรียมจะยกเลิกกฎหมายฉุกเฉิน ทหารก็ต้องกลับกรม กอง ไม่อาจมาดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนได้อีก จึงมีความเป็นห่วงในความปลอดภัย เพราะขนาดมีประกาศฉุกเฉิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ยังถูกลอบยิง แล้วประชาชนจะอยู่กันอย่างไร?

บ้านเมืองมีพระสยามเทวาธิราชคอยปกป้องดูแล คนไทยทั้งประเทศล้วนตั้งความหวังว่าบ้านเมืองของเราจะกลับสู่ความสงบสุขได้

แต่ความหวังจะเป็นจริงได้ก็ต้องอาศัยความพร้อมใจของทุก ๆ ฝ่าย มิฉะนั้นแล้วเหตุรุนแรงก็จะเกิดขึ้นอีก การลอบยิงนายสนธิ เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญของประชาชนอย่างกว้างขวาง ซ้ำเติมความรู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัยในบ้านเมือง ซึ่งเป็นอันตรายมาก เพราะเมื่อความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วคงไม่เกิดเฉพาะในประเทศ คงเกิดกับนักลงทุนต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างประเทศด้วย จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ

การใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น เมื่อสถานการณ์ปกติแล้วก็ต้องเลิกอยู่ดี โดยเป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะต้องพิจารณาว่าสถานการณ์ปกติแล้วหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาจากความเป็นจริงเป็นหลัก ไม่ใช่พิจารณาจากแรงกดดันของนักธุรกิจหรือนักวิชาการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเฉพาะหน้า โดยไม่คำนึงถึงระยะยาวว่าถ้าความไม่สงบยังดำรงอยู่ ยิ่งทำการค้าขายก็ยิ่งเสียหายหมด จึงต้องตระหนักให้เพียงพอ ถ้ารัฐบาลมีความเข้าใจในการบริหารอำนาจและคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างถ่องแท้ ก็ต้องเตรียมการรองรับการเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้ อาทิเช่น อาจตั้งหน่วยงานในรูปคณะกรรมการเฝ้าระวังหรือติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ไม่ใช่รอจนเหตุการณ์บานปลายแล้วค่อยเข้าแก้ไขเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็จะเกิดความเสียหายมาก

แต่จะคิดอ่านทำกันอย่างไรเป็นเรื่องในหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาล เราเป็นชาวบ้านก็ได้แต่ออกความคิดความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไปตามประสา ท่านจะฟังหรือไม่ก็ไม่รู้ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าถ้าจะเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วรัฐบาลจะเตรียมการอย่างไรเพื่อป้องกันเหตุร้ายและทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ มีความสงบสุข

สำหรับประชาชน ยังคงอยู่ในอาการอกสั่นขวัญหาย ก็ต้องระมัดระวังตัวกันเอง และไม่มีทางไหนดีเท่ากับรวมตัวกันช่วยกันดูแลชุมชนหรือท้องถิ่นของตน ช่วยกันทำให้ทุกชุมชนทุกท้องถิ่นมีความสงบ มีความสุข มีความปลอดภัย หากทำกันได้ทั่วทั้งประเทศก็จะช่วยให้บ้านเมืองสงบสุขได้