วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

ป.ป.ช.เตรียมชี้มูลผู้พิพากษร้อง"สมชาย"ประพฤติมิชอบ

ดังที่เกริ่นเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. วันนี้ (25) ก็ได้ฤกษ์ฉายตอนที่สองของเรื่อง

มันเป็นวิบากกรรมที่ครอบครัวนายกรัฐมนตรี ทั้งตัวเอง เมีย และลูกสาว กำลังเผชิญการตรวจสอบความผิดต่างกรรมต่างวาระ

แต่สำหรับตัวนายกฯ มีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปราบปรามทุจริตในวงราชการ

นายชำนาญ ระวิวรรณพงษ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 เปิดเผยว่า เมื่อปี 2543 เขาได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ตำแหน่งในขณะนั้น) กรณีที่นายสมชาย ตั้งกรรมการสอบวินัยเขา อันสืบเนื่องมาจากการที่เขาเป็นผู้ร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลกรณีที่กรมบังคับคดี ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดทรัพย์ ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดธัญญบุรี ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย

"เรื่องนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลว่า นายมานิตย์ สุธาพร รองอธิบดีกรมบังคับคดี ในขณะนั้น มีความผิดและต่อมากระทรวงยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้นายมานิตย์ ออกจากราชการ แต่สำหรับผมซึ่งเป็นผู้ร้องให้มีการสอบสวนการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลับโดนนายสมชาย สั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก คนที่ปกป้องประโยชน์ของทางราชการ กลับโดนตั้งกรรมการสอบวินัย"

รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 เปิดเผยด้วยว่า คดีนี้มีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าคดีที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช โดนตัดสินว่าขาดคุณสมบัติเพราะจัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเป็นเรื่องที่เกียวกับการปกป้องคนที่กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ในวงราชการ ซึ่งเขาทราบว่าในส่วนที่เป็นข้าราชการพลเรือนคือนายมานิตย์ กฎหมายให้ลงโทษไล่ออก ปลดออก แต่สำหรับอธิบดีซึ่งเป็นตุลาการ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) กำลังตั้งกรรมการสอบสวนอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี คนดังกล่าว

นายชำนาญ กล่าวว่า หากป.ป.ช.ชี้มูลว่านายสมชาย มีความผิดจะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะตามกฎหมายแล้วให้ถือตามช่วงเวลาที่มีการชี้มูล ซึ่งตอนนี้นายสมชาย เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ตอนที่กระทำความผิดเป็นข้าราชการ แต่ในช่วงที่มีการชี้มูล นายสมชาย เป็นนักการเมือง จึงจะต้องขึ้นศาลฎีกานักการเมือง

"คดีนี้เป็นเรื่องข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปราบปรามขบวนการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ ซึ่งถือเป็นปัญหาการคุณธรรมและจริยธรรมที่ข้าราชการจะต้องมี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี"

เปิดกฎหมายป.ป.ช.-รธน.ฟันอาญานายกฯ

ทั้งนี้ มาตรา 66 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ระบุว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว เว้นแต่ในกรณีที่ผู้กล่าวหามิใช่ผู้เสียหาย และคำกล่าวหาไม่ระบุพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงก็ได้

นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสี่ บัญญัติว่า ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการเท่าที่มีอยู่ ว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลนับแต่วันดังกล่าวผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งรายงานไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามมาตรา 273 และอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง แต่หากเห็นว่าไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหานั้นตกไป

ป.ป.ช.เผยเตรียมจะสรุปสำนวนเร็ว ๆ นี้

ขณะที่นายกล้านรงค์ จันทิก กรรรมการป.ป.ช. ในฐานะเจ้าของสำนวนคดีร้องเรียนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะตั้งกรรมการสอบวินัยนายชำนาญ ระวิวรรณพงษ์ ว่า ตั้งแต่มีการยื่นคำร้องมา ป.ป.ช.ก็ได้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นระยะ เนื่องจากคดีนี้มีความเกี่ยวพันธ์กับบุคคลจำนวนมาก และมีหลายคำร้อง ป.ป.ช.จึงต้องใช้เวลา และมีการร้องเรียนเข้ามาที่คณะกรรมการป.ป.ช.หลายชุดด้วยกันจึงต้องมีการเรียกสอบเป็นช่วง ๆ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ไปแล้ว 2 รายคือ นายมานิตย์ สุธาพร รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี ส่วนการชี้มูลความผิด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นั้น ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อสรุป

ด้านนายวิชา มหาคุณ กล่าวถึงกรณีเดียวกันนี้ว่า เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของท่านกล้านรงค์ โดยมีการสอบสวนมาเป็นระยะ ๆ แต่เท่าที่ทราบขณะนี้การสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และคาดว่าดจะสรุปผลคดีได้เร็ว ๆ นี้

ป.ป.ช.ชี้"มานิตย์"ทำรัฐเสียหาย70ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2549 นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช. แถลงผลการประชุมว่า ได้พิจารณากรณี นายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในการสั่งคืนเงิน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน 897 ล้านบาท โดยไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดธัญบุรี ตามกฎหมาย จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะทำการส่งเรื่องให้แก่ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัย พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลต่อไป

นายกล้านรงค์ ยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาตามขั้นตอนที่ถูกต้องไม่ใช้การใส่ร้าย โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเก่าได้ทำการพิจารณาสำนวนคดีและสอบพยานกว่า 40 ปาก และพิจารณาจากเอกสารสำนวน 74 รายการแล้วจึงแจ้งข้อกล่าวหา อีกทั้งนายมานิตย์ ก็ได้แก้ข้อกล่าวหาแล้ว ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงชี้มูลว่ามีความผิดจริง

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเป็นคดีเดียวกับข้อกล่าวหานายสุทัศน์ เงินหมื่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่เนื่องจากเป็นคนละประเด็นคณะกรรมการจึงต้องแบ่งกันพิจารณาเป็นขั้นตอน