วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตระกูล"อมาตยกุล"ฟ้องปูนใหญ่ 222 ล้าน

หมวดข่าว : เศรษฐกิจ
โดย:กองบรรณาธิการTheCityJournal
ตระกูล "อมาตยกุล" มอบทนายความฟ้องเรียกค่าเสียหาย จาก "ปูนซิเมนต์ไทย" และพวกอีก 8 ราย รวม 222 ล้านบาท ข้อหาไม่รับผิดชอบกรณีใบหุ้นปลอม ด้านบริษัทแจงไม่สามารถชดเชยความเสียหายได้ เพราะต้องรอขั้นตอนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายพิบูลศักดิ์ สุขพงษ์ ทนายความได้รับมอบอำนาจจากนายวรรณพงษ์ รุ่งโรจน์วุฒิกุล ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวรรโณทัย อมาตยกุล ที่ 1 นายเกียรติพงศ์ อมาตยกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ที่ 2 และ น.ส.วรรณโสภิน อมาตยกุล ที่ 3 เป็นโจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 นายกานต์ ตระกูลฮุน รอง กก.ผจก.ใหญ่ ที่ 2 นายชุมพล ณ ลำเลียง กก.ผจก.ใหญ่ ที่ 3 นายวรพล เจนนภา ผู้อำนวยการสำนักงาน บ.ปูนซิเมนต์ ที่ 4 นายประพันธิ์ ชูเมือง เจ้าหน้าที่จัดเก็บรักษาใบทะเบียนหุ้น หรือโอนหุ้น ที่ 5 นางดวงกมล เกตุสุวรรณ ที่ 6 นายสบสันต์ เกตุสุวรรณ ที่ปรึกษาฝ่ายจัดการที่ 7 บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ 8 และ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่ 9 เป็นจำเลยที่ 1-9 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 222,597,234 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5%
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2551 นายวรรโณทัย อมาตยกุล ผู้ถือหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เบาหวาน และศาลแพ่งได้มีคำสั่ง ตั้งนายวรรณพงษ์ เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาวันที่ 11 ธ.ค. 2551 นายวรรณพงษ์ได้นำใบหุ้นที่อยู่ในความครอบครองของทายาท และโจทก์ที่ 2-3 ซึ่งเป็นบุตร-ธิดา ไปติดต่อกับจำเลยที่ 8 เพื่อตรวจสอบและโอนมรดก ให้แก่ทายาท แต่เมื่อจำเลยที่ 8 ตรวจสอบใบหุ้น แล้วยึดไว้ โดยอ้างว่าเป็นใบหุ้นปลอมและเป็นใบหุ้นที่ถูกเพิกถอนไปแล้ว กระทั่งวันที่ 7 ม.ค. 2552 จำเลยที่ 8 ได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบใบหุ้นดังกล่าวว่า จำเลยที่ 5 , 6 และ 9 เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนวันที่ 30 ม.ค. 2552 โจทก์ทั้งสามทราบเหตุละเมิดว่ามีการลักและปลอมใบหุ้น ทำให้โจทก์ที่ 2-3 ต้องสูญเสียกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน คือ ใบหุ้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เมื่อพยายามใช้สิทธิตามเอากรรมสิทธิ์กับผู้เกี่ยวข้อง และจำเลยในคดีนี้คืนแก่โจทก์ แต่ได้รับการปฏิเสธ
คำฟ้องระบุว่า การกระทำของจำเลยนับว่าปราศจากความรับผิดชอบ ขาดจรรยาบรรณทางวิชาชีพ และขาดหลักการโปร่งใสภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี เฉพาะจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และ 3 เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย ต่างเพิกเฉย ไม่ดำเนินการให้มีมาตรการอย่างใด ที่จะชดใช้เยียวยาให้แก่โจทก์ทั้งสาม โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 ได้ถูกโจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 , 8 แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการสอบสวนเอาตัวจำเลยที่ 5 กับพวกมาลงโทษ
ต่อมาศาลอาญาได้ออกหมายจับ จำเลยที่ 5 ไว้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2552 ซึ่งขณะนี้จำเลยที่ 5 ได้หลบหนีไป และมีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไป เพื่อไม่ให้โจทก์ทั้งสาม บังคับคดีได้โดยง่าย
โจทก์จำเป็นต้องฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อให้จำเลยร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ ที่ได้รับความเสียหาย คือ หุ้นปูนใหญ่ มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท จำนวน 672,000 หุ้น ที่ถูกลักไป พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันได้สูญเสียทรัพย์สินจนถึงวันฟ้อง โดยโจทก์ของคิดมูลค่าหุ้นปูนใหญ่ในวันที่ถูกกระทำละเมิด เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2547 และวันที่ 17 ต.ค. 2549 ทั้งสองครั้ง รวมเป็นมูลค่าหุ้น 164,633,800 บาท และคิดดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่สูญเสียทรัพย์สินไปจนถึงวันฟ้องอีก 46,629,434 บาท รวมเป็นมูลค่าทรัพย์หุ้นปูนใหญ่ทั้งสิ้น 211,263,234 บาท รวมทั้งดอกผลที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับจากหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น เป็นเงินจำนวน 1,344,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม ค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เป็นเงินจำนวน 10,000,000 บาท รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 222,597,234 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ 1165/2552 และนัดพิจารณาในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.
ด้านฝ่ายกฎหมายของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ได้ชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายดังกล่าวว่า จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทในวันที่ 25 มี.ค. 2552 ทั้งนี้ สำหรับประเด็นเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายนั้น คณะกรรมการบริษัทมีความเห็นว่า การรับผิดชอบของบริษัทต้องเป็นไปตามกฎหมาย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริษัทจึงยังไม่สามารถสรุปเรื่องนี้ได้ ควรต้องรอผลการสอบสวนและการดำเนินงานตามขั้นตอนของกฎหมาย การพิจารณาดำเนินการใดๆ จะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับเจ้าของหุ้นและผู้ถือหุ้นทุกคนตามหลักบรรษัทภิบาล ซึ่งที่ประชุมก็รับทราบ
"การปลอมใบหุ้น เป็นเรื่องการทุจริตของพนักงานที่ทำการโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ เพราะบริษัทเองก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกใบหุ้น หน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนหุ้น ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ทราบกันดีว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกบริษัทต้องมอบหมายหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนหุ้นให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ซึ่งบริษัทได้มอบหมายให้ TSD ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนตั้งแต่ปี 2520

ไม่มีความคิดเห็น: