

องคมนตรีชี้การศึกษาไปไม่รอด เหตุงบถูกโกงกินทุกจุด แนะทุกโรงเรียนติดป้าย"เขตปลอดการฉ้อราษฎร์บังหลวง" ฝากผู้บริหาร5 องค์กรหลักศธ.คุมเข้มพบครูทุจริตให้ไล่ออก อบรมครูเพิ่มคุณธรรม แนะดึงคนเก่ง-คนดีมาเป็นครูหันมาผลิตครูเฉพาะสาขาวิชา ให้รัฐสนองพระราชดำริพัฒนาการศึกษาชาย
วันนี้ 24 ธันวาคม 2551 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ร่วมกับองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเสวนาระดมความคิดเห็น เรื่อง ทิศทางเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 โดย ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวว่า ปฏิรูปการศึกษา คือ การปรับเปลี่ยนระบบและนโยบายการศึกษาของชาติ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและนอกประเทศ โดยต้องไม่ติดกรอบระยะเวลา เนื่องจากสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนระบบและนโยบายการศึกษาของชาติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น จีนประสบปัญหานักศึกษาอาชีวศึกษาเรียนจบแล้วทำงานไม่เป็นเหมือนไทย แต่จีนมุ่งผลิตนักศึกษาอาชีวศึกษาให้ออกมาตรงตามที่สถานประกอบการต้องการ ขณะที่ไทยติดเรื่องทำอย่างไรให้คนเข้าเรียนอาชีวศึกษาให้มากขึ้น ดังนั้น อาชีวศึกษาควรทำมาตรฐานกลางวิชาชีพเพื่อให้นักศึกษาจบออกมาเป็นช่างฝีมือที่มีคุณภาพ
องคมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนจุดแตกหักของการปฏิรูปการศึกษาในช่วงเวลา 2552-2560 คือเรื่องคุณภาพการศึกษา ที่ต้องเพิ่มการศึกษาทุกประเภททุกระดับ ต้องคำนึงถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และการศึกษาสร้างอุปนิสัยคนในชาติที่ต้องการ รวมทั้งควรกำหนดว่าจะสร้างนิสัยพลเมืองไทยอย่างไร คุณลักษณะเก่ง ดี มีสุขเป็นอย่างไร เห็นว่าอุปนิสัยสำคัญที่ต้องสร้างคือ การสร้างนักเรียนที่มีความดี ยึดความถูกต้องชอบธรรมเพื่อให้เป็นนิสัยที่ติดตัวคนไทย
“เรื่องสำคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา คือ ครู ต้องหาคนที่เหมาะสมมาเป็นครู โดยหลักสูตรผลิตครู ควรยกเลิกระบบผลิตครูเอกปฐมวัย เอกประถมศึกษา แต่เปลี่ยนเป็นเอกภาษาไทย เอกคอมพิวเตอร์ตามวิชาแทน เพื่อให้มีครูที่เก่งเฉพาะวิชา ไม่ใช่ครูคนเดียวสามารถสอนทุกวิชาเหมือนอดีตที่ผ่านมา ซึ่งหลักสูตรการผลิตครูควรเรียน 6 ปีเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในวิชาที่ศึกษา จบออกมาแล้วได้รับเงินเดือนเช่นเดียวกับแพทย์ นอกจากนี้ ต้องพัฒนาครูประจำการให้ดีและเก่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นครูเทวดา แต่ระบบพัฒนาครูปัจจุบันไม่ได้ให้การพัฒนาที่เป็นเรื่องเป็นราว ครูเสียเวลากับการเขียนผลงานวิชาการขอตำแหน่งให้ตนเอง ทำให้ไม่มีเวลาสอนหนังสือ ซึ่งการพัฒนาครูก็ต้องรับฟังเสียงจากครูทั่วประเทศด้วย”ศ.น.พ.เกษม กล่าว
องคมนตรี กล่าวต่อไปว่า อยากเสนอให้ผู้บริหาร ศธ.เข้าไปดูเรื่องการศึกษาชายแดนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จย่าทรงออกแบบไว้ เนื่องจากที่ผ่านมาเรื่องการจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนไม่อยู่ในความคิดของผู้บริหารการศึกษาเท่าไหร่ ขอให้เปลี่ยนการดูงานต่างประเทศไปเป็นดูงานพื้นที่ชายแดนไทย เพื่อนำสิ่งที่ได้ไปพบเห็นมาปรับเรื่องการศึกษาซึ่งจะช่วยเรื่องความมั่นคงของชาติได้ดีที่สุด
“สิ่งสำคัญคือเรื่องงบประมาณด้านการศึกษา ที่ผ่านมางบการศึกษาที่ได้รับมามีฉ้อราษฎร์บังหลวงไปเท่าไหร่ เหลือสำหรับการพัฒนาการศึกษาเท่าไหร่ เพราะมีการกินกันทุกจุด ทำให้ระบบการศึกษาไปไม่รอด ดังนั้น ต้องพัฒนาระบบให้เป็นระบบธรรมาภิบาลปฏิบัติให้ลงไปสู่ทุกภาคส่วนของระบบการศึกษา ผมอยากให้มีป้ายทุกโรงเรียนว่าเขตปลอดการฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยซ้ำ และฝากผู้บริหารองค์กรหลักทั้ง 5แท่งขอให้เอาจริงกับการลงโทษครูที่ทุจริตคอรัปชั่น หากต้องเอาออกก็ขอให้เอาออก และให้กำหนดบทลงโทษให้หนักสำหรับเรื่องนี้ แล้วไปเพิ่มเรื่องคุณธรรม เพื่อให้งบประมาณลงไปถึงระบบการศึกษาอย่างแท้จริง”ศ.น.พ.เกษมกล่าว
"ในหลวง"ทรงฝากครม.อภิสิทธิ์ ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข เรียบร้อย ทำให้ประเทศชาติผ่านไปได้ด้วยดี ตามความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน
วันนี้ (22 ธ.ค.) เวลา 17.00 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ในการนี้ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า
"ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ฟังรัฐมนตรี ที่จะเข้ารับหน้าที่ต่อไปนี้ได้ปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งท่านมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้ประเทศชาติมีความสุข ความเรียบร้อย ถ้าท่านทำงานเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อย ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบุญสำหรับประเทศ เพราะว่าประเทศต้องมีคนที่ดูแลความเป็นอยู่อย่างดี มิฉะนั้น ไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานของประชาชนทั่วไปได้ดีนัก
แต่ถ้าท่านได้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข ความเรียบร้อย ก็ทำให้ประเทศชาติเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งเป็นความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ที่จะให้ประเทศชาติดำเนินไปโดยดี เพราะว่าถ้าไม่สามารถที่จะมีความเป็นไทยอยู่ได้ ก็ขอให้ท่านพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะให้คนไทยมีความเรียบร้อย มีความสุขเพราะว่าถ้าทำไม่ดีจะเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง หรือ คนทั่วๆ ไป ทำไม่ดี คนหนึ่งคนใด ก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ และก็ท่านก็มีหน้าที่สำคัญเพราะท่านอยู่สูง มีหน้าที่สูง ก็จะต้องทำให้ประเทศชาติดำเนินไปโดยดี
ก็ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติงาน เพื่อความดีของประเทศ ความสงบสุขของประเทศ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่สุด ถ้าท่านทำได้ท่านเองก็มีความสุข และประชาชนทั่วไปทุกพวก ทั้งหมู่ ทั้งเหล่า ทุกเหล่าได้มีความสุขทั้งนั้น คนไหนจะทำอะไรก็สามารถจะปฏิบัติงานได้ ถ้าท่านช่วยกันดูแลประเทศชาติให้มีความราบรื่น ท่านเองก็มีความสุขเหมือนกัน
ฉะนั้นที่ท่านตั้งใจที่จะปฏิบัติงานโดยดีนั้น เป็นความดีที่ท่านจะทำสำหรับตัวเองด้วย สำหรับส่วนรวมด้วย เพราะว่า ถ้าส่วนรวมอยู่ดีท่านก็อยู่ดี ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานโดยเรียบร้อย ทำให้ทั้งประเทศมีความราบรื่น ซึ่งเราต้องการความสงบของประเทศ ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงาน โดยเรียบร้อยทุกอย่าง และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการแต่ละส่วนที่ท่านต้องทำ"
นักวิชาการหลายสำนักเผยผิดคาด "ทักษิณ" โฟนอินพึ่งพระบารมี พลิกเกมแบบเจียมตัว ยากตีความ ชี้ เสื้อแดง เปิดเกมวัดพลังพร้อมห้ำหั่นเสื้อเหลือง เต็มเหนี่ยว แนะ "สมชาย"ล้มเลิกความคิดตั้ง ส.ส.ร.3 หยุดชนวนเหตุนองเลือด
ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาหัวข้อ"วิเคราะห์เหตุการณ์หลังคืนวันที่ 1 พ.ย." โดยนางอมรา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวว่า การจัดเวทีความจริงวันนี้สัญจรเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.ออกมาค่อนข้างดี ไม่มีการเชิญชวนให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ถือเป็นวิธีการที่เหมาะสม แต่จะเหมาะสมมากกว่าหากจะไม่จัดเลย
การประกาศจัดเวทีด้วยการเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพรีเซ็นเตอร์ เชิญชวนคนให้มาแสดงพลังมหาศาลที่เขามีอยู่ ทำให้เห็นว่าพลังของเสื้อแดง และเสื้อเหลืองพร้อมจะเผชิญหน้ากันเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น เราต้องขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล ว่าไม่ควรมีการเผชิญหน้ากันระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง และกล้าที่จะตัดสินในเรื่องการตั้ง ส.ส.ร. 3 เพราะเป็นชนวนที่จะกระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้า
“ บนเวทีความจริงวันนี้คุณทักษิณ ได้พยายามพลิกสถานการณ์ด้วยการใช้ท่าทีเจียมตัว อ่อนน้อมนุ่มนวลว่าอยากจะกลับบ้านและบอกให้ประชาชนหาทางกลับให้และขอพึ่งพระบารมีนั้นก็ถือเป็นถ้อยคำที่ขึ้นอยู่กับว่าจะตีความกันอย่างไร โดยสามารถตีความได้สองทาง คือ การขอให้ประชาชนที่เป็นพลังเสื้อแดงช่วยให้เขาได้กลับบ้าน
ส่วนการขอความเมตตาต่อสถาบัน นั้น ความเมตตาต่อสถาบันก็ตีความได้หลายๆ อย่าง ซึ่งส่วนตัวไม่อยากพูดขอให้ทุกคนคิดกันเองว่าเป็นรูปแบบไหน
ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า การที่ทุกฝ่ายจะบอกว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรงก็เป็นการพูดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีเท่านั้น แม้ไม่ได้พกอาวุธปืน มีด แต่ก็มีการใช้คำพูดที่ยั่วยุให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม เมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้ายอีกฝ่ายก็จะแอบดีใจ ซึ่งถือเป็นความรุนแรง เพราะในใจทุกฝ่ายมีความรุนแรงอยู่
ดังนั้น สถาบันศาสนาจะต้องออกมาชี้นำให้สังคมได้ตระหนักและเป็นส่วนหนึ่งให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน ความรุนแรงที่อีกฝ่ายเป็นคนอื่นไม่ใช่พวกเดียวกันถือเป็นความรุนแรงที่เป็นอันตรายมาก ซึ่งจะนำไปสู่การห้ำหั่นกัน
นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงกระบวนการยุติธรรมและมีผู้เสนอให้ถวายฎีกานั้นตนเห็นว่าขณะนี้ต้องบอกว่ากระบวนการยุติธรรมในคดียังไม่สิ้นสุด เพราะมีเวลาอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญได้ภายใน 30 วัน เราจึงบอกไม่ได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิด จึงอยากเรียกร้องให้กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างนี้ไม่ต้องถวายฎีกาเพื่อสู้คดี แต่ถ้ากระบวนการสิ้นสุดแล้วก็สามารถถวายฎีกาได้ เพราะถือเป็นพระราชอำนาจของในหลวง
"ไม่ควรไปกดดันด้วยการล่ารายชื่อเป็นหมื่นเป็นแสน ถวายฎีกาแค่เพียงคนเดียวหรือสองคนก็ได้แล้วไม่จำเป็นต้องล่ารายชื่อ"
นายเอกพันธุ์ ปิณฑวนิช นักวิชการจากศูนย์ศึกษาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.ไม่ว่าฝ่ายพันธมิตร และรัฐบาล หากรัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าให้มีส.ส.ร. 3 ก็จะมีแนวโน้มเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ 7 ต.ค. หากรัฐบาลยังไม่หยุดและมีเหตุนองเลือดเกิดขึ้น ผู้รับชอบจะต้องเป็นรัฐบาล รวมทั้งนปช.และ หากมีการเคลื่อนไหวการชุมนุมอีกแกนนำจะต้องรับผิดชอบ
นายเอกพันธุ์ ยังกล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นจุดที่สังคมก้าวไม่พ้นทักษิณเสียที ต้องกลับมาสู่ เสื้อแดงเพิ่มขึ้นมากขนาดนั้นเกรงว่าพันธมิตร ก็พร้อมจะแสดงกำลัง ด้วยการระดมมวลชนเสื้อเหลืองมากขึ้น ถ้าพันธมิตร เพิ่มขึ้น นปช.ก็เพิ่มขึ้นอีก ไม่คิดว่าจะเป็นทางออกที่คลี่คลาย
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งหลังจากเกิดเหตุ 7 ต.ค.จะคลี่คลายไปบ้าง แต่หลังจากนี้คิดว่าแนวโน้มความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น อาจถึงขั้นนองเลือดครั้งที่ 4 เพราะจะเป็นการบวกสถานการณ์ 7 ต.ค.และ 2 ก.ย.เข้าด้วยกันเพราะมีนปช.เข้ามาด้วย อาจจะลุกลามเป็นสงครามการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาเราประคองสถานการณ์มาได้กว่า 100 วันแล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยง โดยทั้งสองฝ่ายทั้งพันธมิตร และนปช.ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและงดความเคลื่อนไหวไม่ให้เกิดการปะทะ สิ่งใดที่เป็นอาวุธก็ควรไม่นำเข้ามาในที่ชุมนุม
สังคมไทยต้องเตือนทั้งสองฝ่ายให้ยึดกติกาเป็นหลัก ส่วนรัฐบาลต้องสรุปบทเรียนเหตุการณ์ 7 ต.ค.
ขณะที่ตำรวจ และทหาร ก็ควรสรุปว่าพลังของนปช.ที่ออกมาเมื่อวานนี้ (1 พ.ย.)หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติ พลังเหล่านี้ก็จะออกมาต่อต้าน
“การเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั้นพรรคร่วมรัฐบาลควรต้องชะลอกระบวนการออกไปก่อน เพราะขณะนี้กระบวนการไม่ได้รับการยอมรับ ถ้าเดินหน้าต่อไปชนวนความขัดแย้งก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ถ้าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ถูกบรรจุเข้าสู่วาระของที่ประชุมสภาในวันพุธที่ 5 พ.ย.นี้ แล้วสภาอนุมุติให้ผ่านสองวาระรวดแล้วตั้งกรรมาธิการขึ้นมาระหว่างสองสภาและเว้นไว้ 15 วันก่อนเข้าสู่วาระ 3 ก็จะยิ่งให้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะการเข้าสู่วาระ 3 จะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้ารัฐบาลและฝ่ายสภาเล่นเกมเร็วด้วยการใช้เสียงข้างมากพิจารณารวดเดียว ความขัดแย้งก็ยิ่งสูงขึ้น อาจจะถือเป็นการผลักดันให้ความขัดแย้งถึงวาระแตกหัก
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชะลอส.ส.ร. 3 ออกไปก่อน แล้วกลับมาตั้งหลักกันใหม่ด้วยการดึงฝ่ายต่าง ๆที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันก่อน ”
นายปริญญา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้รัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องมีส.ส.ร. 3 เดินหน้าต่อไปจะเป็นการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงจนรัฐบาลก็จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ(คปพร.) นั้นก็ไม่ใช่ทางออก หากนำมาใช้ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังเล่นเกมเสี่ยง ที่ไม่ใช่เฉพาะเก้าอี้ตัวเอง แต่เป็นการเอาประเทศไปเสี่ยงด้วย ตอนนี้ทางออกก็มีหลายทาง ที่รัฐบาลจะต้องเลือกเว้นแต่ว่าจะตั้งส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจอยู่ไปได้นานขึ้นหรือเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเหตุการณ์ 7 ต.ค.เท่านั้น
“ เราจะต้องจับตาคำสัญญาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่เคยประกาศว่าหลังจากตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายปรีชา พาณิชวงศ์ เป็นประธานฯ ทำงานไปแล้ว 15 วันและมีผลอย่างไรรัฐบาลก็จะปฏิบัตินั้นเมื่อครบกำหนดแล้วนายสมชายจะทำอย่างไร เพราะการรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ไม่ใช่การใช้เงินอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นการรับผิดทางการเมืองด้วย ถ้าครบกำหนดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะทำให้นายสมชายขาดความน่าเชื่อถือย่างรุนแรง ”
รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอยู่นี้ไม่ได้เป็นการแก้ไขความขัดแย้งแต่เป็นเรื่องการแก้เกมการเมือง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหยุดก่อน เพราะหากไม่หยุดวันที่ 20-21 พ.ย.ที่อาจจะเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องนำผลการพิจารณาของกรรมาธิการศึกษามาตรา 291 เราอาจจะต้องเห็นการนองเลือดอีก
"ผมมีข้อเสนอให้ทุกฝ่ายสองทางเลือก คือ 1. ถ้ารัฐบาลเห็นว่าไม่ควรเดินหน้าให้มีส.ส.ร.ก็ควรยุบสภาและก่อนยุบก็ควรตกลงกันว่าจะให้มีการเลือกตั้งและส.ส.ควรมีที่มาแบบใด อาจจะมีเวทีในการพูดคุยทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและรัฐบาล และ 2. ให้มีการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ด้วยการพ่วงวาระทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนได้ออกความเห็นว่าจะตั้ง ส.ส.ร.เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร หากผลเป็นอย่างไรก็ถือว่าทุกฝ่ายจะต้องยุติ ”
นายปริญญา กล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ บนเวทีความจริงวันนี้สัญจรว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเรื่องมหาประชาชนต้องไม่ลืมว่าประชาชนมีทั้งฝ่ายไม่ชอบและชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องตระหนักว่าไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบก็เป็นประชาชนทั้งสิ้น ดังนั้น ต้องไม่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกลียดกันมากไปกว่านี้ โดยสังคมไทยควรจะข้ามพ้นเรื่องตัวบุคคล โดยต้องฝากถึงคู่ขัดแย้งทั้งสองกลุ่มไม่ควรมาฆ่ากันเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงคดีเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.นั้นตนคิดว่าคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ กังวลมากที่สุด น่าจะเป็นคดียึดทรัพย์ เพราะคดีอื่น ๆ ที่เป็นคดีอาญาที่จะเดินต่อไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีการเปิดศาลนัดแรก ที่โดยหลักแล้วโจทก์ต้องนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลก่อนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งคดีอาญาอื่นๆ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มาขึ้นศาลเลย แต่คดียึดทรัพย์ไม่ใช่คดีอาญาศาลจึงสามารถพิจารณาลับหลังจำเลยได้
“ คดีการยึดทรัพย์นี้ไม่ใช่ว่าศาลจะต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดที่อายัดไว้ เพราะหากพ.ต.ท.ทักษิณสู้คดีและพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินได้มาโดยชอบศาลก็จะคืนให้ หากพิสูจน์ได้มากแค่ไหนก็จะได้คืนมากเท่านั้น ดังนั้นต้องคุณทักษิณจะต้องกลับมาพิสูจน์ในศาล หากมั่นใจว่าได้ทรัพย์สินของตัวเองได้มาโดยชอบก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แม้มีข้อโต้แย้งว่า การจัดทำสำนวนในการฟ้องคดีนั้นมาจากการทำงานของคตส.ที่มาจากการรัฐประหาร แต่ต้องไม่ลืมว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกระบวนการปกติที่มีมาก่อน 19 ก.ย. 49 ดังนั้นทักษิณไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าเชื่อมั่นว่าตัวเองหาทรัพย์สินมาโดยชอบจริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว ”
สังคมไทยแตกแยกเป็น 2 ส่วนมากขึ้น ๆ หลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ความแตกแยกนี้ไม่อาจยุติลงได้โดยวิถีทางปกติ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลลาออก ยุบสภา หรือทหารออกมารัฐประหารในรูปแบบเดิม ๆ หรือปรับเปลี่ยนไปจากเดิมไม่มาก มีอยู่วิถีทางเดียวเท่านั้น....
คำว่า “ลัทธิราชประชาสมาสัย” พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านนำมาใช้เป็นครั้งแรก ในบทสนทนาหัวข้อ “การเมืองไทย” กับท่านอาจารย์เสน่ห์ จามริก และท่านอาจารย์ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ มีบันทึกอยู่ในวารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 เดือนเมษายน 2515 หน้า 39 – 45
ระยะเวลาที่ใกล้ขึ้นมาสักหน่อย ก็เห็นจะเป็นงานเขียนของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่แม้จะไม่ได้เอ่ยคำว่า “ลัทธิราชประชาสมาสัย” แต่ก็ได้อรรถาธิบายลักษณะพิเศษของระบอบประชาธิปไตยในบ้านเราไว้ได้ชัดเจน
ท่านเขียนไว้ในบทความเรื่อง "ในหลวงกับประชาชน : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทย" ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ 30 เมษายน 2536 และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบทที่ 7 ส่วนที่ 2 ตำรา "กฎหมายมหาชน เล่ม 2" ตีพิมพ์เมื่อเดือนกันยายน 2537
อาจารย์บวรศํกดิ์ ฟันธงว่า เอกลักษณ์ระบอบประชาธิปไตยไทยนั้นแตกต่างกับประเทศอื่นตรงที่...
อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ที่พระมหากษัตริย์และประชาชน
ต่างกับรัฐธรรมนูญของชาติอื่นที่ถือว่าประชาชนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย !
ทั้งนี้ ก็จากการพิจารณาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับนับแต่ 10 ธันวาคม 2475 มาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้ข้อความทำนองเดียวกัน
“อำนาจอธิปไตยมาจาก (เป็นของ) ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
ซึ่งมีที่มาจาก 2 เหตุผลหลัก
1. เหตุทางประเพณีในสังคมวัฒนธรรมไทย -- อันเกิดจากการสั่งสมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระมหากษัตริย์กับประชาชน
2. เหตุผลทางนิติศาสตร์ -- หากสืบสาวเรื่องย้อนไปจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อำนาจอธิปไตยอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ครั้นเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงอำนาจอธิปไตยอยู่ก็สละพระราชอำนาจนั้นให้ประชาชนทั้งประเทศด้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญ แล้วลดพระองค์ลงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ยังทรงใช้อำนาจนั้นแทนปวงชน
ในทางกฎหมาย ต้องถือว่าทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนต่างเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ในทางกฎหมายนั้น เมื่อมีการรัฐประหารเลิกรัฐธรรมนูญคราใดต้องถือว่าอำนาจอธิปไตยที่เคยพระราชทานให้ปวงชนนั้นกลับคืนมายังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475
ผลสำคัญประการแรกทางกฎหมายระหว่างประเทศก็คือ รัฐบาลนานาชาติไม่ต้องรับรองรัฐบาลไทยใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงโดยการรัฐประหารเป็นเรื่องระดับภายใน แต่ระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ยังดำรงอยู่ และทรงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่กลับคืนมาเป็นของพระองค์ท่านด้วย ส่วนคณะรัฐประหารไม่ใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตยเลย แต่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองในเวลานั้นตามความเป็นจริงเท่านั้น
พูดง่าย ๆ คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นอำนาจทางกฎหมายอยู่ที่พระมหากษัตริย์ แต่อำนาจในทางความเป็นจริงอยู่ที่คณะรัฐประหาร
ผลสำคัญประการที่สองคือเมื่อคณะรัฐประหารประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อจัดทำเสร็จ ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อลงพระปรมาภิไธยก็เท่ากับพระมหากษัตริย์สละอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาที่ประชาชนอีก
สรุปคืออำนาจอธิปไตยที่เป็นอำนาจตามกฎหมายนั้นถ้าไม่อยู่ที่ “พระมหากษัตริย์” แล้ว.. . ก็อยู่ที่ “พระมหากษัตริย์กับประชาชน” เท่านั้น !
สภาพการณ์ในทางปฏิบัติที่ควรพิจารณาทางด้านนิติบัญญัติ ในการตราพระราชบัญญัตินั้น แม้กฎหมายจะผ่านรัฐสภามาแล้ว ก็ต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยจึงจะเป็นพระราชบัญญัติ และพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจยับยั้งที่จะไม่ลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายได้ ในประเทศตะวันตก ถือว่าแม้พระมหากษัตริย์จะมีพระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย แต่ก็มีจารีตประเพณีว่าพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนั้น
ดังที่ปรากฏในอังกฤษ ว่าตั้งแต่ปี 1807 ที่ควีนแอนน์ทรงยับยั้งกฎหมายเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ปรากฏว่ากษัตริย์อังกฤษเคยยับยั้งร่างกฎหมายอีกเลย แต่ในไทยประเพณีการปกครองที่คนไทยยอมรับแตกต่างกับในอังกฤษอย่างสิ้นเชิง หากพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย หรือมีพระราชดำริให้แก้กฎหมาย องค์กรตามรัฐธรรมนูญพึงดำเนินการตามพระราชวินิจฉัยนั้น แม้โดยปกติพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ แต่เมื่อทรงใช้ องค์กรตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมาก็ปฏิบัติตาม
ดังจะเห็นได้จากพระราชกระแสที่มีพระบรมราชวิจารณ์รัฐธรรมนูญ 2517 ว่าการให้องคมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตั้งสมาชิกวุฒิสภา เป็นการดึงพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวกับการเมือง
สภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2517 เมื่อปี 2518 ตามพระราชกระแส ซึ่งยังไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้ในประเทศอื่น แม้เมื่อประมาณปี 2535 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหมิ่นประมาทที่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้ว และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าจำกัดดุลพินิจศาล และไม่สอดคล้องกับเสรีภาพของสื่อมวลชน ก็ไม่ปรากฏว่ามีการลงพระปรมาภิไธย และไม่ปรากฏว่าเมื่อเกิน 90 วันไปแล้วมีการหยิบยกขึ้นโดยรัฐสภาเพื่อลงมติยืนยันแต่อย่างใด
จริงอยู่ รัฐบาลปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง สถานการณ์ไม่น่าจะนำไปเปรียบเทียบกับคณะรัฐประหารในอดีตได้ นี่ก็ขึ้นอยู่กับการตีความและอยู่ที่เจตจำนงของประชาชน เพราะ “ทรราช” มีได้หลายโฉมหน้า !
การได้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินการฉ้อฉลสารพัดสารพันถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต่างจากการรัฐประหารโดยเนื้อหา
เป็นการรัฐประหารด้วยอำนาจเงิน !
การแถลงนโยบายฝ่ายเดียว ท่ามกลางองค์ประชุมที่น่าสงสัยว่าจะไม่ครบนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว – ขณะนี้ไม่มีรัฐบาล และอำนาจอธิปไตยที่ได้พระราชทานให้ปวงชนนั้นจึงกลับคืนไปสู่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475 โดยอัตโนมัติอีกครั้ง แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือไม่ – ก็อยู่ที่ประชาชนทั้งหมดแล้วว่าจะแสดงประชามติ “รับรอง” หรือไม่ ?
ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี ผิดหวัง "นักโทษชายแม้ว" โฟนอินเรื่องของตัวเอง ไม่ได้ช่วยยุติความรุนแรง ยังหวังให้ปรับเปลี่ยนความคิดสร้างสันติสุขให้ประเทศชาติ
นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การโฟนอินของพ.ท.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการจับใจความเนื้อหาก็พอรับได้ แต่ก็ค่อยข้างไปทางลบ ไม่ได้ช่วยให้เกิดการคลี่คลายสถานกรณ์ความรุนแรงในประเทศได้เลย พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงสถานะของตัวเองตลอด ไม่ได้ย้ำให้เกิดการยุติความรุนแรงแต่อย่างใด หากจะให้เดาคงบอกได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายที่จะกอบกู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนเอง อยากจะกลับเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็มีความพยายามที่จะเข้ามาในไทย
"ความรุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่คงตอบไม่ได้ เพราะมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่การทำแกนนำพันธมิตร และนปช. ออกมาประกาศจะไม่ใช่วิธีรุนแรงหรือหลีกเลี่ยงการปะทะ ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี และผมยังคงหวังว่าคุณทักษิณ น่าจะมีส่วนช่วยให้ประเทศชาติ ประชาธิปไตย ด้วนสันติวิธีกลับคืนมาได้" ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี กล่าวทิ้งท้าย
นักวิชาการนิด้า จวก “ทักษิณ” โฟนอินทำ “สังคมแตก” ปลุกมวลชน ฮือขอในหลวง อภัยโทษพ้นคุก ชี้ชัดทำไม่ได้ต้องเข้าตารางก่อน เชื่อทหารออก “ยึดอำนาจ” ก่อนบ้านเมืองพินาศ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุในการโฟนอินว่าจะกลับไทยได้ด้วยพระบารมีและพระเมตตา ว่า ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนว่าจะใช้กระบวนการราชประชาสมาศัย ให้การช่วยเหลือให้ตัวเองพ้นผิด คือการให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากแล้วเรียกร้องให้ขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์
"โดยหลักกฎหมายแล้วการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นผู้นั้นต้องได้รับโทษอยู่ก่อนแล้วจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ แต่แนวทางนี้ก็ขัดรัฐธรรมนูญเพราะการจะนิรโทษกรรมนั้นจะทำเพื่อคนๆ เดียวไม่ได้"
อธิการบดีนิด้า กล่าวว่า ท่าทีการปลุกระดมของพ.ต.ท.ทักษิณ เห็นชัดว่าจะใช้กำลังคนที่สนับสนุนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง โดยทำทุกอย่างไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเกิดความแตกแยกรุนแรงขนาดไหน เพราะคน 2 กลุ่มพร้อมจะปะทะกันมากขึ้น เชื่อว่าก่อนที่บ้านเมืองจะพินาศถึงขีดสุดทหารจะออกมาปฎิบัติการบางอย่างเพื่อยุติปัญหา