วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เหล่าทัพประกาศปฏิวัติ"สมชาย"ผ่านจอทีวี


พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร.เปิดปฏิบัติการปฏิวัติรัฐบาลสมชาย ผ่านหน้าจอทีวี

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวว่า อยากเสนอสังคมว่าถ้าเรายังเป็นฝักฝ่ายก็จะเกิดวิกฤติไม่มีทางจะจบได้ ประเทศจะล่มจม ทางออกของประเทศชาติ คนไทยต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ต้องมีจุดที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยต้องผ่านวิกฤตินี้โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ถามว่ามีการเรียกร้องให้กองทัพ ออกมา พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าปฏิวัติทำให้ปัญหาจบได้ ก็ต้องพิจารณาร่วมกันทุกภาคส่วน แต่ทุกวันนี้พูดได้ว่าผมติดต่อสื่อหลายส่วนและลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย รวมถึงนักวิชาการก็ลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย ทำแล้วประเทศชาติจะยิ่งเสียหาย ส่วนจะแก้ด้วยวิธีใดยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายต้องคุยหาจุดร่วมกันให้ได้ ส่วนกองทัพจะเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีการเรียกร้องให้อยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ถ้าเลือกฝ่ายประเทศชาติจะวิบัติ
ถามว่าทำไมทหารไม่ออกมา เมื่อเห็นภาพตอนเช้า 7 ต.ค.ผบ.ทบ. กล่าวว่า การชุมนุมมีตั้งร้อยกว่าวัน และกองทัพทำงานร่วมกับตำรวจตลอดมา และยืนยันไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง ยกเว้น 2 ครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่ความคิดริเริ่มของ ตร.และกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ติดหมายศาลในทำเนียบรัฐบาล ผมเรียนให้ทุกคนทราบว่ากรณีฉุกเฉินเป็นเหตุการณ์ที่มีการปะทะกัน และมอบให้ผมเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยและเห็นแล้วว่าวันที่ปิดหมายทำให้เกิดผลกระทบมากมาย ถ้าตัดสินใจทำไปนอกจากจะไม่จบแล้วปัญหาจะบานปลาย ส่วนเหตุวันที่ 7 ต.ค. กองทัพไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย กองทัพมองว่าเป็นการสั่งการจากรัฐบาลไปยังตำรวจ จะถูกผิดอย่างไรเราคงไม่ไปพูดถึง เพราะเกี่ยวข้องกับความชอบธรรม
ถามว่า รู้กี่ชั่วโมงก่อนสลายชุมนุม ผบ.ทบ.กล่าวว่า เรื่องไปประชุมผมไม่ทราบ ผมคุยกับ ผบ.ตร.ว่าจะไม่ทำอะไร เฉย ๆ และไม่รู้ว่าเขาไปประชุมอะไรกัน เพราะไม่ใช่ตัวของผม แต่เป็นกองทัพทั้งกองทัพ กองทัพจะอยู่กับประชาชน แม้จะให้อำนาจมาเต็ม ๆ ก็ไม่ทำ เช้าวันนั้นพอเกิดเหตุการณ์ก็ติดตามสถานการณ์ ไม่ทราบว่าผลจะรุนแรงขนาดนั้น และเป็นการสั่งการของรัฐบาล ถ้าย้อนไปได้ก็จะทำไปห้ามตั้งแต่แรก การจะเอากำลังทหารออกไป จะออกไปสถานภาพใด หากสูญเสียมากกว่าเดิมจะทำอย่างไร ซึ่งได้พูดคุยกับเหล่าทัพ และหารือกับ ผบ.สส.และแจ้งไปยัง ผบ.ตร.ว่าเราไม่เห็นด้วย
ถามว่าเสียใจหรือไม่ ก็เสียใจ ถ้าห้ามได้ก็จะห้ามแต่แรก แต่ถ้าออกไปก็จะสุ่มเสี่ยงทำให้ยากกว่าเดิมเกิดการต่อสู้ระหว่างทหารและตำรวจ หากมีการปะทะกันก็จะสูญเสียเพราะมีการใช้อาวุธ และสถาบันทหาร กับตำรวจ ก็จะแตกแยกอีกนาน
"น้องโบว์เป็นทรัพยากรของประเทศ มีคุณค่าต่อชาติ หากย้อนกลับไปได้ตำรวจก็คงไม่ ผมยืนยันว่าทุกครั้งตำรวจก็พูดเช่นนี้ "

เรื่องความรับผิดชอบ เป็นเรื่องกระทบ แต่เรื่องที่ตามมา คนในสังคมรับไม่ได้เกิดเป็นกระแสขึ้นมา ลุกลามไปถึงตำรวจ และหมอ ผมคิดว่าจะจบได้ต้องมีคนรับผิดชอบไม่ว่าระดับนโยบายหรือสั่งการ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้ประชาชนได้ ถ้ารัฐบาลสั่งเองเต็ม ๆ จากการสอบสวนต้องรับผิดชอบ ผมว่ากระแสคนในชาติคนไม่ยอม ปั่นป่วน แต่ไม่ใช่บีบคั้นให้ออก แต่ต้องรับผิดชอบบนกองเลือด อยู่อย่างไรก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจงเกลียดจงชัง ชอบไม่ชอบ ถ้าผมเป็นนายกฯ ก็ออกแล้วไม่รู้ว่าจะอยู่ทำไม
ถามว่ากดดันหรือไม่ สังคมจะทำเอง ไม่ทราบว่าเรียกว่ากดดันหรือไม่ แต่สังคมรับไม่ได้ ไม่มีทางจะจบได้ ผมเข้าใจว่าถ้านองเลือดกันจะถึงกลียุค ก็จะต้องหยุดการใช้อำนาจ แต่ไม่ใช่ปฏิวัติ
ถามว่า มีข่าวในงานศพมารดา พล.อ.อนุพงษ์ ครอบครัวชินวัตรมอบเงิน 50 ล้าน ผบ.ทบ. กล่าวว่า โดยส่วนตัวผมไม่มีทางทำอะไรเช่นนี้ ผมไม่รับเงินทรัพย์สมบัติจากใคร งานศพของคุณแม่ ผมและครอบครัวได้รับพระบรมราชานุเคราะห์ ใช้เงินไม่มาก เงินที่มาร่วมทำบุญมีจำนวนหนึ่ง ก่อนบรรจุมี 5 ล้านบาท คนที่รับไปคือพี่สาวที่ทำบัญชี และมอบเงินทำบุญให้รพ.พระมงกุฎเกล้า ส่วนวันเผาเหลืออีกล้านเศษก็มอบให้วัด ยืนยันด้วยเกียรติว่าไม่มีเช่นนั้น

"ผมกับครอบครัวชินวัตร มีบุคคลที่รู้จักคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมไม่เคยคุยกับคุณหญิงพจมาน ส่วนภรรยาผมก็ไม่เคย ยิ่งลุกสาว ลูกชาย ไม่เคยรูจึกตระกูลชินวัตร แม้จะพูดคุยก็ไม่เคย ที่เรียน ป.โท ก็มีปีเดียว ไม่รู้จักใคร และลูกผู้หญิงคนเดียวไปอยู่ที่โน่นต้องรักษาตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

เมื่อถามถึง บทบาทของกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะป็นกองทัพหรือคนไทยทั้งชาติก็มีความเห็นเดียวกันเทอดทูนสถาบันพระมหาษัตริย์ และตัวของผมเป็นราชองครักษ์มาเกือบ 30 ปี เพื่อให้สังคมเข้าใจ ผมทำงานใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นโครงการพระราชดำริ ผมจะปกป้องรักษาสถาบันด้วยชีวิต ทหารทั้งหมดและครอบครัวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ในเรื่องการปกป้องรักษาสถาบัน แนวทางการดำเนินการขณะนี้มีการอ้างอิงสถาบัน

"แนวทางที่ถวายความจงรักภักดีต้องไม่มีการอ้าง ไม่ว่าเงื่อนไขขัดแย้งทางการเมือง พระองค์ท่านต้องอยู่เหนือนั้น ซึ่งพระองค์มีพสกนิกร 60 ล้านคน จะต้องไม่แบ่งแยก การที่จะไปเอามากลุ่มเดียว มองอีกมุมว่าเป็นการแยกท่าน มีเสียงว่ากองทัพไม่ดูแลไม่ปกป้องสถาบัน ผมยืนยันว่าหากมีการจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กองทัพจะไม่ปล่อย" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ 7 ต.ค. ที่ตำรวจยิงก๊าสน้ำตาทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว เท่าที่ดูการใช้แก๊สน้ำตาไม่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ แต่กรณีที่เกิดขึ้นคงต้องไปดู และเอาผู้เชี่ยวชาญมาดูทั้งของจีน และสหรัฐ มาดูอีกครั้ง

ถามว่าวันนั้นใครสั่งสลายชุมนุมเพื่อเปิดทางให้สมาชิกสภาเข้าชุมนุม ผบ.ตร. กล่าวว่า ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง หน้าที่ของตำรวจมีผู้บังคับบัญชาคือ นายกฯ และกฎหมายก็บอกว่าต้องทำตาม มติ ครม.และคำสั่งนายกฯ วันนี้ถามว่าใครเป็นคนสั่ง ต้องรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะดีที่สุด
เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า 7 ต.ค. ต่อกระทั่งบ่ายค่ำ ทำไมไม่หยุด ผบ.ตร. กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าตำรวจทุกท่านเข้าใจว่าแก๊สน้ำตาไม่ทำให้ผู้บาดเจ็บ บ่าย และเย็น ก็ต้องรอให้มีการตรวจสอบ ขณะนี้ก็มีคณะกรรมการหลายชุด
เมื่อศาลปกครองมีคำสั่งแล้วว่าการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมจะต้องทำอย่างไร และก่อนจะใช้ต้องประกาศค่อนข้างชัดเจน สตช.เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี และโอกาสเกิดในอนาคตก็ยังมี ผมจึงได้ตั้งคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม และจะเอาสื่อเข้าไปด้วย การจะมองว่าการรักษากฎหมายต้องปฏิบัติตามแผนอย่างเดียวก็จะแข็งเกินไป การจะปะทะกันเกิดขึ้น 2 กลุ่ม ก็จะเรียกคณะกรรมการชุดนี้เข้าไปไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจดำเนินการฝ่ายเดียว

พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. กล่าวว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างอยู่ร่วมกันได้ ประเทศไทยเป็นสยามเมืองยิ้ม และมีความเข้าใจเอื้ออาทรต่อกัน ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนำไปสู่การพัฒนา แต่ก็อยู่ในขอบเขตความนิ่มนวล และเหตุผล เราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่เจเนอเรชัน ในที่สุดคิดว่าคนไทยจะกลับมาสู่ความปรองดอง สร้างความเจริญให้กับประเทศ เรายึดถือองค์พระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด และเราต้องปกป้อง

ถามว่า แนวโน้มปัจจุบันไม่ไปสู่การประนีประนอม ผบ.สส. กล่าวว่า ลองหันมาประนีประนอมกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด การอยู่ร่วมกันต้องมีเหตุผล เราต้องการให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้และหลายๆ อย่าง เราต้องสามัคคี กองทัพถูกกำหนดบทบาทตาม รธน.2550 และพ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปกป้องไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีภารกิจตามที่รัฐบาลมอบหมาย การป้องกันลักลอบยาเสพติด

ถามว่ากองทัพถูกเรียกร้องให้เลือกข้าง ผบ.สส. กล่าวว่า เราอยู่กับประชาชน แต่เราต้องทำตามบทบาทหน้าที่ที่รธน.กำหนดไว้ ถ้าทำนอกเหนือหน้าที่ รธน. กฎหมาย พ.ร.บ. รัฐบาลจะต้องเป็นผู้สั่งการ เช่น ครูให้สอนหนังสือ พยาบาลให้รักษาคนเจ็บ จะให้นายแพทย์มาป้องกันประเทศเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็คือประชาชน

ถามว่า มีกระแสข่าว พล.อ.ทรงกิตติ จะเป็นหัวหน้าปฏิวัติ ผบ.สส. กล่าวว่า คงเป็นความคิดของผู้พูด ไม่ใช่ความคิดของตนหรือกองทัพ กองทัพอยูกับประชาชนไม่ฝักไม่มีฝ่าย และรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และในส่วนของความแตกแยกทางการเมืองอย่าให้เป็นการแตกต่างของสังคมไทย และช่วยกันทำให้ประเทศไทยพัฒนาถาวร
ต่อข้อถามถึง รัฐบาลแห่งชาติ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า มีอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่กองทัพไม่ใช่

ผบ.สส. กล่าวอีกว่า กองทัพมี 3 เหล่า ทัพบก เรือ อากาศ สิ่งที่ ผบ.ทบ.พูด กองทัพพูด อีกความหมาย คือ กองทัพบก และกองทัพอากาศเห็นด้วยเป็นหนึ่งเดียว

ไม่มีความคิดเห็น: