วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ภาพแห่งความปลื้มปิติ ที่สุดของปี 2551
"ป๋าเปรม"แนะทหารเป็นกลาง
พล.อ.ประวิตร นำกล่าวอวยพร ว่า เหล่าทัพไทยขอกราบขอบคุณที่อนุญาตให้คณะเข้าอวยพรและขอรับพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ปี 2552 ท่านประธานองคมนตรีมีความรู้ ความสามารถ มุ่งมั่น อดทน อดกลั้น เสียสละ เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองมาตลอดถึงปัจจุบัน เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนจนได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ รวมถึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะประธานองคมนตรี นับเป็นสิ่งที่ควรได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติ
"ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านมุ่งปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือสังคม และปลูกจิตสำนึกสำนึกคนไทยให้รักกัน รวมถึงตั้งมั่นในการกระทำคุณความดี รับใช้บ้านเมืองด้วยความเสียสละมาต่อเนื่องมุ่งให้เกิดความสามัคคีนำพาให้ประเทศรอดพ้นวิกฤติจากภัยคุกคามทุกด้าน สร้างความสงบสุขให้เกิดกับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนา สมกับความมุ่งมั่นที่ปณิธานไว้ว่า เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน เราทุกคนมาชุมนุมที่นี้เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความเคารพรักด้วยความจริงใจ"
"เราเป็นทหารต้องซาบซึ้ง ถ่องแท้ ชัดเจนในหน้าที่เราว่ามีอะไรบ้าง เราพูดกันว่าเราต้องทำกองทัพให้งามสง่า น่าเกรงขาม เราจะดำรงความมุ่งหมายของกองทัพ ตั้งแต่สูงสุดลงไปถึงข้างล่างสุด ผู้บังคับบัญชาต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา เราพูดมาตลอด ที่พูดซ้ำเพื่อรัฐมนตรีป้อม จะได้ดูแลน้องๆ ในกองทัพได้รู้ และเข้าใจชัดเจนในปณิธานของทหาร ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และชาติว่าเราจะทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองบ้าง สิ่งสำคัญที่รัฐมนตรีต้องดูแลให้กองทัพยืนนิ่งอยู่กับเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ทัพป๊อก (พล.อ.อนุพงษ์) พูดเสมอว่าทหารจะเป็นกลาง ไม่ยุ่งการเมือง แต่นักการเมืองก็ยืนอยู่ข้างหน้าป๊อก"
พล.อ.เปรม กล่าวด้วยว่า เราต้องพูดกันให้ชัดเจนว่า เราเป็นกลางทางการเมืองจริง เราจะไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง เราจะดูแลชาติบ้านเมือง เพราะนอกจากจะเป็นกลางแล้ว เราต้องเป็นหลักของชาติบ้านเมือง ตราบใดที่ชาติบ้านเมืองมีปัญหาเราต้องช่วยกันคิดว่าในฐานะที่เป็นทหารเราควรทำอย่างไร และเพราะเหตุใดต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
"วันนี้ตำรวจมาด้วย ตอนแรกจะขอแยกพูดกับตำรวจ แต่พล.ต.อ.พัชรวาท ขอร้องว่าจะร่วมกับทหาร เราก็ดีใจที่พัชรวาท ขอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพราะถึงหน้าที่ไม่เหมือนกันแต่คล้ายกัน แต่ที่เหมือนกัน คือ ต้องเป็นหลักให้กับชาติบ้านเมือง แต่ตำรวจดีกว่าทหาร เพราะมีอำนาจเยอะกว่าทหารตามกฎหมาย เราเชื่อกันว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง และศักดิ์สิทธิ์จริง ดังนั้น หากทำอะไรท่านคงมองเห็น
ขอให้พรว่าให้เราประกอบกรรมดี เป็นตัวอย่างให้กับน้องและพี่ที่แก่เฒ่าได้ชื่นใจว่า น้องๆ ยังรักษาความเป็นทหาร และตำรวจไว้ได้เป็นที่ศรัทธาของประชาชน ขอให้ความสำเร็จที่ทำความดี ขอให้พระสยามเทวาธิราชดลบันดาลให้เราเห็นแสงสว่างในการทำความดี ขอให้มุ่งมั่นในการทำความดีเหล่านั้นเป็นผลสำเร็จ ขอให้รัฐมนตรีป้อม เป็นหลักให้กับกองทัพ และผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่หน่วยต่างๆช่วยดูแลกองทัพให้เจริญรุ่งเรื่อง มีความสามัคคี เป็นหลักของชาติบ้านเมือง และเป็นหลักที่จะถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”พล.อ.เปรม กล่าว
ก่อนตายอยากเห็นกองพลทหารม้าที่3
จากนั้น พล.อ.ทรงกิตติ นำคณะนายทหารเหล่าทหารม้า นำกระเช้าดอกไม้เข้าร่วมอวยพร พล.อ.เปรม โดยพล.อ.เปรม กล่าวฝาก พล.อ.ทรงกิตติ ว่า ให้หาเวลาว่างไปหาพล.อ.ประวิตร เพื่อไปพูดคุยเรื่องการตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 และไปเล่าให้พล.อ.ประวิตร ฟัง ซึ่งท่านอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ และโน้มน้าวกันให้ดี ซึ่งรัฐมนตรีควรจะรับทราบ ขณะนี้ทราบว่ายังติดอยู่ที่การพิจารณาของสถาบันวิชาการทหารชั้นสูงปีกว่าแล้ว มันเสียเวลามาหลายปี อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตายอยากจะเห็น เป็นห่วงเรื่องนี้ ดังนั้นขอให้ช่วยกันหน่อย ขอให้เราได้ตายอย่างสบายหน่อย จะได้เห็นว่ามีกองพลทหารม้าที่ 3 ขึ้นมาอีก 1 กองพล ตอนนี้กรมทหารม้าที่ 6 มีอยู่ 3 กองพันคือ ม.พัน 6 ม.พัน 14 และ ม.พัน 15 ซึ่งตั้งแล้วได้ 1 กรม ทั้ง 3 กองพัน นี้สามารถแยกออกเป็น 1 กรม ได้แล้ว คิดว่าไม่น่ายาก
ฝากกวาดล้างเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูง
ต่อมาพล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พร้อมด้วย พล.ท. คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และทหารสังกัดกองพลที่ 1 เข้าอวยพร พล.อ.เปรม โดยพล.อ.เปรม กล่าวว่า หน่วยทหารที่เสนาธิการทหารบกเอ่ยนามมาควรจะภาคภูมิใจที่มีโอกาสทำหน้าที่ทหารและรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ถือเป็นสิ่งที่เราเกิดมาในการทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งไม่มีอะไรจะน่าภาคภูมิใจได้มากกว่านี้ ชีวิตของเราคิดว่าการถวายความจงรักภักดีดูแลล้นเกล้าล้นกระหม่อมไว้อย่างดีที่สุด ดังนั้น เราต้องหวงแหนในสิ่งนี้
นอกจากนี้เราจะต้องปกป้องล้นเกล้าล้นกระหม่อม เสนาธิการทหารบก คงรู้ว่ามันมีเวบไซต์เกิดขึ้นมาเยอะแยะ ซึ่งบางทีก็ใช้ไม่ได้เลย เมื่อวาน นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาก็พูดกันเรื่องนี้ และเราก็ทำอะไรมากไม่ได้นักเพราะเราไม่ใช่เจ้าหน้าที่โดยตรง
"สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ชี้แจงให้คนเข้าใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และให้ทำหน้าที่นี้โดยตลอดเวลา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งบางทีคนก็อาจจะไม่เข้าใจแต่พวกเราเข้าใจว่าเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อวานนี้เห็นในทีวี พระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดูแล้วผ่องใสมาก และพวกเราก็ภูมิใจ ท่านทรงแข็งแรงขึ้นมากๆ เป็นที่น่าปราบปลื้มของคนไทย เสนาธิการทหารบก เคยอยู่กับพระองค์ท่านตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ฉะนั้น จะต้องถ่ายเลือดกันให้ดีว่าสิ่งสำคัญที่เราจะถวายมีอะไรบ้าง เพื่อว่าเด็กรับเลือดของพวกเราไป และถ่ายทอดต่อไปจนตลอดชีวิตของพวกเรา ทั้งนี้ไม่มีสิ่งใดที่เราควรจะภาคภูมิใจเท่ากับหน้าที่ที่เราทำ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชาติบ้านเมือง"
ฝากสื่อทำงานเหนื่อยเพื่อชาติ
หลังจากนั้น พล.อ. เปรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ผู้สื่อข่าวอาจจะมีความเหน็ดเหนื่อยในการทำหน้าที่ ซึ่งความเหน็ดเหนื่อยถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง ถ้าไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยก็จะไม่ได้ข่าวสารที่ต้องการ ทั้งนี้ คิดว่าการสื่อในการทำความเข้าใจกับผู้รับ นักข่าวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าสื่อไปทำความเข้าใจกับผู้รับสื่อ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ขอให้สมาคมสื่อมีความมั่นคงและมีความตรงไปตรงมา ชอบธรรม ดังนั้นขอให้พวกท่านทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพื่อบ้านเมืองจะได้เรียบร้อยขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. เปรม จะให้กำลังใจคนไทยที่เผชิญปัญหาต่างในปีหน้าอย่างไร พล.อ.เปรม กล่าวว่า คิดว่าคนไทยทุกคนมีเหตุผลและไม่หัวแข็ง หัวดื้อ หัวรั้น ถ้าพูดตรง พูดจริง คิดว่าเข้าใจ สิ่งที่พูดไปอาจจะผิดบ้างถูกบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กังวลถึงสถานการณ์บ้านเมืองหรือไม่ พล.อ. เปรม กล่าวว่า ตั้งแต่โตมา เป็นห่วงบ้านเมืองมาโดยตลอด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชาติบ้านเมือง และเป็นทหารก็มีหน้าที่โดยตรงที่จะดูแลชาติบ้านเมือง ทั้งนี้เราไม่ห่วงกองทัพ เพราะเขาเก่ง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ดูท่านอารมณ์ดี ยิ้มได้ และมีความสุข แสดงว่าเบาใจที่มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศใช่หรือไม่ พล.อ. เปรม กล่าวว่า ทุกคนคงยิ้มเหมือนเรา เห็นเหมือนเรา คงยิ้มเหมือนกัน
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551
รมว.ยุติธรรมเดินเครื่องคดีหมิ่นเบื้องสูง ไม่การันตีเก้าอี้4บิ๊กดีเอสไอ.
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงนโยบายการบริหารงานกระทรวงยุติธรรม ว่า จะเร่งดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก เรื่องแรกคือเน้นปราบปรามคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำคำพูด การสื่อสารในรูปแบบใด หรือเว็บไซต์ อันนี้เป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีหน้าที่รักษากฎหมาย
ประการที่สองคือการทำกระทรวงยุติธรรมให้เป็นกระทรวงของประชาชน เป็นกระทรวงที่อำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการมใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ซึ่งหลายส่วนมีอำนาจมาก คือเราต้องใสทั้งสองด้าน การปฏิบัติหน้าที่ต้องตรงไปตรงมา ถ้าหากไม่มีความตรงไปตรงมาความยุติธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ และจะน้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มอบให้กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งผมก็จะนำมามอบให้กับข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ให้เป็นแนวทางการดำเนินงาน โดยเฉพาะที่พระองค์ท่านบอกว่า ให้ช่วยกันทำให้ประเทศชาติสงบเรียบร้อย ถ้าไม่เรียบร้อยสังคม บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ การที่จะทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยได้ กระทรวงยุติธรรมจะต้องให้สังคมเป็นธรรมอย่างชอบธรรม ไม่ใช่เป็นธรรมตามกฎหมาย ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในทางเป็นจริงแล้วไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ฉะนั้น ตรงนี้ต้องนำไปปฏิบัติ ให้เป็นรูปธรรม
นโยบายที่สำคัญหลังจากแถลงนโยบายรัฐบาล ที่ต้องทำเร่งด่วน คือ การปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมในหลายๆ ส่วน กฎหมายที่ทำให้การปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบยากลำบากมากขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการเอาผิดที่จะต้องเอาโทษข้าราชการที่ทุจริต ยกเลิกอายุความคดีทุจริตทุกประเภทเพื่อให้ผู้กระทำความผิดทุจริตไม่มีวันหมดอายุความ สามารถดำเนินคดีได้ตลอดเวลา ให้สาสมกับสิ่งที่เขาได้โกงชาติโกงแผ่นดินไว้
ด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย การใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จะต้องถูกตรวจสอบได้ ในเมื่อเราใช้กฎหมายกับประชาชน ก็พร้อมที่จะให้ประชาชนตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความถูกต้อง และทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม และมีส่วนร่วมในการบริหาราชการแผ่นดินกับรัฐบาล
ส่วนเรื่องการตรวจสอบองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐไม่ใช่เฉพาะกระทรวงยุติธรรม ที่จะต้องโดนตรวจสอบแต่ทุกองค์กรประชาชนก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน ทกุกกรมมีอำนาจเหมือนกันหมด เพียงแต่การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ต้องปลูกฝังเรื่องคุณธรรมให้เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้ง ซึ่งในกระทรวงยุติธรรมต้องมีความเป็นธรรม หากในกระทรวงไม่มีความยุติธรรมแล้ว จะไปสร้างความยุติธรรม หรือไปตรวจสอบคนอื่นได้อย่างไร
จะทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรม รวมไปถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดระเบียบผิดวินัย ถ้าหากมีใครทำผิดก็ต้องมีการสอบสวนกันไม่ใช่คนนี้รู้จักผู้ใหญ่ คนนี้รู้จักคนนั้น กลายเป็นว่าคนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายทำผิดนิดเดียวโทษหนัก คนมีเส้นมีสายทำผิดมหาศาลไม่เป็นไรอย่างนี้แหล่ะคือจุดเริ่มต้นของความไม่เป็นธรรมในกระทรวงยุติธรรม หากจุดเริ่มต้นของประทรวงให้ความเป็นธรรมกับเขาไม่ได้
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อฝ่ายการเมืองเข้ามาก็ต้องดำเนินการกับกรมนี้ ท่านจะทำอะไรกับกรมนี้บ้าง
กรมสอบสวนคดีพิเศษ นั้น เกิดจากนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ สำหรับกรมสอบสวนคดีพิเศษมีกฎหมาย เมื่อเข้าสภาแล้วหลายมาตราที่มีการแก้ไขตามที่ผมต้องการ แต่เมื่อนำมาใช้แล้ว หลายมาตราไม่ได้เป็นไปตามที่มีการพูดกันในสภา เข้าทำนองผู้ร่างไม่ได้ใช้ ผู้ใช้ไม่ได้ร่าง ต่อจากนี้ไปในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผมจะต้องให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้กฎหมายให้เป็นธรรม และตรงตามเจตนารมณ์การตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้มาเป็นกรมถ่วงดุลอำนาจการใช้อำนาจของตำรวจ ไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นสำนักงานตำรวจ 2
จะย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่
ณ วันนี้ไม่มีความคิด ผมจะต้องใช้หลักการทำงานเป็นเกณฑ์
คดีที่อยู่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยเฉพาะคดีปรส.เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลประชาธิปัตย์จะดำเนินการอย่างไร
สำหรับผมทุกคดีสำคัญหมด ไม่ได้มองว่าเป็นคดีของรัฐบาล ไม่มองว่าเป็นคดีของฝ่ายค้าน ไม่มีคดีของพ่อค้าหรือคดีของใคร ทุกคดีคือคดีของประชาชนที่มีผลกระทบต่อความยุติธรรมของประเทศ ผมจะวางหลักไม่ให้เป็นคดีของรัฐบาล คดีฝ่ายค้าน คดีการเมือง คีดอาญา แต่จะต้องเป็นหลักว่าคดีประเภทไหนความเสียหายอย่างไร ต้องดูที่พฤติการณ์ของคดี และพยานหลักฐาน ต้องใช้เวลาสอบสวนภายในกี่วัน เราจะไม่ดูที่คู่กรณี เมื่อไหร่ที่เราเอาคู่กรณีเข้ามาเป็นประเด็นเราจะเกิดความวอกแวก ความยุติธรรมจะไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นผู้บังคังคับบัญชาสูงสุดจะต้องยึดหลักนี้ จะต้องไม่สนใจว่าคู่กรณีเป็นใคร แต่ต้องสนใจว่าพฤติดรรมที่เกิดเหตุของเรื่องคืออะไร พยานหลักฐานเป็นอย่างไร
ผมจะมอบหลักเกณฑ์อย่างนี้ ถ้าทำได้ ผมจะเขียนแนวทางขึ้นมาเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ เพื่อไม่มีการแทรกแซง ผมจะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป้นกรมอำนวยความยุติธรรม จะไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นอีกหนึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะหากเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ก็อาจจะเกิดคุณเกิดชอบซึ่งกระทบกับการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องมีสำนึกคุณธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ว่าเรามีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล การใช้อำนาจของตำรวจ
คดีพิเศษ ก็ต้องมาดูหลักเกณฑ์อีกทีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราอาจจะต้องเริ่มทำคดีก่อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จะเข้าไปปรับปรุงโครงสร้างอะไรในดีเอสไอหรือไม่
นาทีนี้ ยังตอบไม่ได้ เพิ่งเข้ามารับหน้าที่
มองว่าดีเอสไอ เป็นสตช.2 หรือเปล่า จากการที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ริเริ่มให้เกิดขึ้นมา
ผมไม่ได้มองว่าเขาเป็นอะไร แต่จากการที่ผมเริ่มต้นแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่มีการตั้งหลายหน่วยงานขึ้นใน 7-8 ปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานตั้งมาแล้วไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่มีการตั้งขึ้นมา หลายหน่วยงานผมคิดว่าผมไม่พอใจกับการทำงาน ไม่ใช่ไม่พอใจเลยนะครับ เพราะท้ายที่สุดหลายหน่วยงานโดนมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่
หลายหน่วยงานนี้รวมทั้งดีเอสไอด้วยหรือไม่
รวมทั้งดีเอสไอด้วย เขาจะเป็นจริงหรือไม่ผมยังไม่ได้พิสูจน์ แต่ว่าที่ผ่านมาจากภาพพจน์ในอดีตถึงปัจจุบันที่ผ่านมามันมองว่าเป็นเหมือนอย่างนั้น ในฐานะที่ผมอยู่ในฝ่ายกระบวนการทางกฎหมายมาตลอด ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผมจะพยายามทำให้ภาพพจน์ตรงนี้หายไป
จะพิจารณาภาพพจน์ตรงนี้ภายในกี่วัน
ภาพพจน์ไม่ต้องใช้เวลาพิจารณาครับ เห็นอยู่แล้ว รับทราบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะต้องดำเนินการคือแก้ภาพพจน์ครับ ตราบใดที่ผมนั้งอยู่ในตำแหน่งกระทรวงยุติธรรม ผมจะทำให้ดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ตอบสนองการแก้ไขปัญหาของประชาชน และต้องเป็นหน้วยงานที่ให้ความยุติธรรมแก้ประชาชนอย่างจริงจัง
จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องการแก้ภาพพจน์ แต่จะต้องมาตรวจสอบว่าภาพพจน์ที่คนเขารู้สึกนั้นเป็นจริงไหม ถ้าหากจริงก็ต้องแก้ ถ้าไม่จริงก็บอกว่าไม่จริง
มองว่าตำรวจในกรมสอบสวนคดีพิเศษ มากเกินไปหรือเปล่า และที่ผู้บริหารที่เป็นตำรวจ 4 คนจะแก้หรือเปล่า
คนเป็นตำรวจ หรือเป็นทหารนั้นไม่ผิด จะไปปิดกั้นไม่ให้เขาทำงานไม่ได้ แต่เมื่อเขามาทำหน้าที่ตรงนี้เขาต้องทำให้ถูกต้องตามหน้าที่นั้น ถ้าเขามาทำหน้าที่ตรงนี้แล้วคิดว่าเขาเป็นตำรวจ ก็ผิด ก็อยู่ไม่ได้ และถ้าหากเป็นทหาร ทำหน้าที่แบบทหารในหน้าที่ให้ความยุติธรรม แต่คุณไม่ให้ ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ผมเรียนว่าผมจะเอาภารกิจ และหน้าที่ จะเอาการทำงานเป็นหลักในการพิจารณาการทำงาน ไม่ได้พิจารณาว่าเป็นทหารอยู่ไม่ได้ เป็นตำรวจอยู่ไม่ได้
ต้องใช้เวลานานหรือไม่
ไม่นานหรอกครับ เพราะว่า ผมอาจจะต้องมอบนโยบายและมีวิธีการให้แต่ละคนพิสูจน์ในเรื่องของการทำงานอย่างเร็วที่สุด
นโยบายด้านการให้ความยุติธรรมกับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกฎหมายหลัก หากดูกฎหมายในกระรทรวงยุติธรรม จะดูว่ามีกฎหมายปปง.นะครับ และหนึ่งในมูลฐานความผิดคือการก่อการร้าย ซึ่งมาจากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และดีเอสไอ ต้องทำงานร่วมกับปปง.ให้มากขึ้น เพราะดีเอสไอ มีอำนาจในการพิสูจน์สอบสวน ผมอยากให้ดีเอสไอเข้าไปทำในเรื่องนี้ด้วย ต้องหาผู้ก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ จะยึดทรัพย์หรือทำอะไรก็ต้องทำร่วมกับปปง. และกระทรวงอื่น
ที่ผ่านมาผมอยากเรียนว่าผมไม่เคยเหห็นบทบาทเรื่องนี้เลย ขณะที่มีการขอแก้กฎหมายปปง.พยายามอธิบายว่ามีปัยหาก่อการร้ายที่ภาคใต้จึงจำเป็นต้องแก้เพื่อแก้ให้มีอำนาจเพิ่ม แต่เมื่อมีอำนาจแล้วผมไม่เห็นเคยเห็นปปง.ใช้อำนาจนี้เลย ผมอยากให้ดีเอสไอ กับปปง.มาพิสูจน์ฝีมือเพิ่มตรงนี้หาให้ได้หาให้เจอ
จะให้กรมคุ้มครองสิทธิ ซึ่งสังกัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมแก้ไขอย่างไร
กรมคุ้มครองสิทธิ จะต้องประสานกับกระทรวงหมาดไทย กระทวงกลาโหม และกระทรวงไอซีที ในการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน
จะนำคดีเอสซีแอสเซส กลับมาพิจารณาใหม่หรือไม่
ผมยังตอบไม่ได้ ต้องเอามาดูทุกคดีว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ถ้าไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมายก็ต้องมาดูกัน
คดีเอสซีแอสเซส จะประสานกับนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้าราชการที่เอื้อประโยชน์ฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้องในคดีอย่างไร
เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจะส่งให้ป.ป.ช.ไปดำเนินการต่อ หลังจากป.ป.ช.มีมติออกมาอย่างไรแล้วเราค่อยมาดูอีกที
คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร จะเร่งดำเนินอย่างไร
ทุกคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม จะต้องกลับมาดูทั้งหมด
วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
องคมนตรีชี้การศึกษาไปไม่รอดเหตุโกงงบ
องคมนตรีชี้การศึกษาไปไม่รอด เหตุงบถูกโกงกินทุกจุด แนะทุกโรงเรียนติดป้าย"เขตปลอดการฉ้อราษฎร์บังหลวง" ฝากผู้บริหาร5 องค์กรหลักศธ.คุมเข้มพบครูทุจริตให้ไล่ออก อบรมครูเพิ่มคุณธรรม แนะดึงคนเก่ง-คนดีมาเป็นครูหันมาผลิตครูเฉพาะสาขาวิชา ให้รัฐสนองพระราชดำริพัฒนาการศึกษาชาย
วันนี้ 24 ธันวาคม 2551 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ร่วมกับองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเสวนาระดมความคิดเห็น เรื่อง ทิศทางเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 โดย ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวว่า ปฏิรูปการศึกษา คือ การปรับเปลี่ยนระบบและนโยบายการศึกษาของชาติ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและนอกประเทศ โดยต้องไม่ติดกรอบระยะเวลา เนื่องจากสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนระบบและนโยบายการศึกษาของชาติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น จีนประสบปัญหานักศึกษาอาชีวศึกษาเรียนจบแล้วทำงานไม่เป็นเหมือนไทย แต่จีนมุ่งผลิตนักศึกษาอาชีวศึกษาให้ออกมาตรงตามที่สถานประกอบการต้องการ ขณะที่ไทยติดเรื่องทำอย่างไรให้คนเข้าเรียนอาชีวศึกษาให้มากขึ้น ดังนั้น อาชีวศึกษาควรทำมาตรฐานกลางวิชาชีพเพื่อให้นักศึกษาจบออกมาเป็นช่างฝีมือที่มีคุณภาพ
องคมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนจุดแตกหักของการปฏิรูปการศึกษาในช่วงเวลา 2552-2560 คือเรื่องคุณภาพการศึกษา ที่ต้องเพิ่มการศึกษาทุกประเภททุกระดับ ต้องคำนึงถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และการศึกษาสร้างอุปนิสัยคนในชาติที่ต้องการ รวมทั้งควรกำหนดว่าจะสร้างนิสัยพลเมืองไทยอย่างไร คุณลักษณะเก่ง ดี มีสุขเป็นอย่างไร เห็นว่าอุปนิสัยสำคัญที่ต้องสร้างคือ การสร้างนักเรียนที่มีความดี ยึดความถูกต้องชอบธรรมเพื่อให้เป็นนิสัยที่ติดตัวคนไทย
“เรื่องสำคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา คือ ครู ต้องหาคนที่เหมาะสมมาเป็นครู โดยหลักสูตรผลิตครู ควรยกเลิกระบบผลิตครูเอกปฐมวัย เอกประถมศึกษา แต่เปลี่ยนเป็นเอกภาษาไทย เอกคอมพิวเตอร์ตามวิชาแทน เพื่อให้มีครูที่เก่งเฉพาะวิชา ไม่ใช่ครูคนเดียวสามารถสอนทุกวิชาเหมือนอดีตที่ผ่านมา ซึ่งหลักสูตรการผลิตครูควรเรียน 6 ปีเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในวิชาที่ศึกษา จบออกมาแล้วได้รับเงินเดือนเช่นเดียวกับแพทย์ นอกจากนี้ ต้องพัฒนาครูประจำการให้ดีและเก่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นครูเทวดา แต่ระบบพัฒนาครูปัจจุบันไม่ได้ให้การพัฒนาที่เป็นเรื่องเป็นราว ครูเสียเวลากับการเขียนผลงานวิชาการขอตำแหน่งให้ตนเอง ทำให้ไม่มีเวลาสอนหนังสือ ซึ่งการพัฒนาครูก็ต้องรับฟังเสียงจากครูทั่วประเทศด้วย”ศ.น.พ.เกษม กล่าว
องคมนตรี กล่าวต่อไปว่า อยากเสนอให้ผู้บริหาร ศธ.เข้าไปดูเรื่องการศึกษาชายแดนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จย่าทรงออกแบบไว้ เนื่องจากที่ผ่านมาเรื่องการจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนไม่อยู่ในความคิดของผู้บริหารการศึกษาเท่าไหร่ ขอให้เปลี่ยนการดูงานต่างประเทศไปเป็นดูงานพื้นที่ชายแดนไทย เพื่อนำสิ่งที่ได้ไปพบเห็นมาปรับเรื่องการศึกษาซึ่งจะช่วยเรื่องความมั่นคงของชาติได้ดีที่สุด
“สิ่งสำคัญคือเรื่องงบประมาณด้านการศึกษา ที่ผ่านมางบการศึกษาที่ได้รับมามีฉ้อราษฎร์บังหลวงไปเท่าไหร่ เหลือสำหรับการพัฒนาการศึกษาเท่าไหร่ เพราะมีการกินกันทุกจุด ทำให้ระบบการศึกษาไปไม่รอด ดังนั้น ต้องพัฒนาระบบให้เป็นระบบธรรมาภิบาลปฏิบัติให้ลงไปสู่ทุกภาคส่วนของระบบการศึกษา ผมอยากให้มีป้ายทุกโรงเรียนว่าเขตปลอดการฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยซ้ำ และฝากผู้บริหารองค์กรหลักทั้ง 5แท่งขอให้เอาจริงกับการลงโทษครูที่ทุจริตคอรัปชั่น หากต้องเอาออกก็ขอให้เอาออก และให้กำหนดบทลงโทษให้หนักสำหรับเรื่องนี้ แล้วไปเพิ่มเรื่องคุณธรรม เพื่อให้งบประมาณลงไปถึงระบบการศึกษาอย่างแท้จริง”ศ.น.พ.เกษมกล่าว
วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
เปิดนโยบายรัฐบาล "อภิสิทธิ์1"
4. ตั้งคณะกรรมการ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
นโยบายด้านสวัสดิการและความมั่นคงของมนุษย์ เน้นแก้ไขปัญหาความยากจน จัดหาที่ดินทำกินให้ผู้มีรายได้น้อย ปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน ยืดระยะเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย หรือพักชำระดอกเบี้ย เร่งรัดให้มีการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สร้างความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ป้องกันปัญหาอาชญากรรม
นโยบายการกีฬา และนันทนาการ ส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มออกกำลังกาย พัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ ตั้งศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ นำวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้เพื่อยกมาตรฐานให้ทัดเทียมนานาชาติ
3.นโยบายเศรษฐกิจ เน้นนโยบาบบริการเศรษฐกิจมหภาค
นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในส่วนของภาคการเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม เน้นสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า เน้นการวิจัยระหว่างรัฐกับเอกชน เพื่อพัฒนาสินค้า กำพหนดมาตรฐาน อุตสาหกรรมการผลิต เครื่องจักรในประเทศ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และอัญมณี โดยส่งเสริมด้วยการลดต้นทุนทางภาษี คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญหา เร่งผลิตบุคลากรด้านอาชีวะ ตามความต้องการของตลาด จัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยคำนึงถึงความอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของชุมชน ส่วนเสริมให้อุตสาหกรรมมีความรับผิดชอบต่อสังคม เน้นคุณภาพ มาตรฐานรักษาสิ่งแวดล้อม
ด้านการตลาด การค้า และการลงทุน
นโยบายเทคโนโยโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
4.นโยบายที่ดินทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการคุ้มครองทัพยากรธรรมชาติ และสัตว์ป่า เน้นการฟื้นฟูอนุรักษ์ระบบนิเวศ เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ
6.นโยบายด้านการต่างประเทศ และเศรษฐกิจการต่างประเทศ
นโยบายด้านกฎหมาย
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ในหลวงทรงฝากครม.ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข เรียบร้อย
"ในหลวง"ทรงฝากครม.อภิสิทธิ์ ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข เรียบร้อย ทำให้ประเทศชาติผ่านไปได้ด้วยดี ตามความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน
วันนี้ (22 ธ.ค.) เวลา 17.00 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ในการนี้ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า
"ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ฟังรัฐมนตรี ที่จะเข้ารับหน้าที่ต่อไปนี้ได้ปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งท่านมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้ประเทศชาติมีความสุข ความเรียบร้อย ถ้าท่านทำงานเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อย ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบุญสำหรับประเทศ เพราะว่าประเทศต้องมีคนที่ดูแลความเป็นอยู่อย่างดี มิฉะนั้น ไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานของประชาชนทั่วไปได้ดีนัก
แต่ถ้าท่านได้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข ความเรียบร้อย ก็ทำให้ประเทศชาติเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งเป็นความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ที่จะให้ประเทศชาติดำเนินไปโดยดี เพราะว่าถ้าไม่สามารถที่จะมีความเป็นไทยอยู่ได้ ก็ขอให้ท่านพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะให้คนไทยมีความเรียบร้อย มีความสุขเพราะว่าถ้าทำไม่ดีจะเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง หรือ คนทั่วๆ ไป ทำไม่ดี คนหนึ่งคนใด ก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ และก็ท่านก็มีหน้าที่สำคัญเพราะท่านอยู่สูง มีหน้าที่สูง ก็จะต้องทำให้ประเทศชาติดำเนินไปโดยดี
ก็ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติงาน เพื่อความดีของประเทศ ความสงบสุขของประเทศ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่สุด ถ้าท่านทำได้ท่านเองก็มีความสุข และประชาชนทั่วไปทุกพวก ทั้งหมู่ ทั้งเหล่า ทุกเหล่าได้มีความสุขทั้งนั้น คนไหนจะทำอะไรก็สามารถจะปฏิบัติงานได้ ถ้าท่านช่วยกันดูแลประเทศชาติให้มีความราบรื่น ท่านเองก็มีความสุขเหมือนกัน
ฉะนั้นที่ท่านตั้งใจที่จะปฏิบัติงานโดยดีนั้น เป็นความดีที่ท่านจะทำสำหรับตัวเองด้วย สำหรับส่วนรวมด้วย เพราะว่า ถ้าส่วนรวมอยู่ดีท่านก็อยู่ดี ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานโดยเรียบร้อย ทำให้ทั้งประเทศมีความราบรื่น ซึ่งเราต้องการความสงบของประเทศ ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงาน โดยเรียบร้อยทุกอย่าง และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการแต่ละส่วนที่ท่านต้องทำ"